วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

การเพิ่ม RAM จำลองในเครื่อง อย่างมีประสิทธิภาพ

การเพิ่ม RAM จำลองในเครื่อง อย่างมีประสิทธิภาพ

1. ปัจจุบันมีการลงโปรแกรมในเครื่องมากมาย สะสมไปเรื่อย รวมทั้งการเล่นเกมส์ในคอมพิวเตอร์ การDownload ต่างๆ มากมาย ทำให้กินทรัพยากรเนื้อที่ ของ Drive C มาก จนเกิดปัญหาตามมา เช่นเครื่องแฮงค์บ่อย,โหลดไฟร์ 100 % แล้วแต่ได้รับเพียงบางส่วน (สังเกตุได้ว่า เครื่องจะเตือนว่า Low Disk Space แล้ว),Download หลุดบ่อย ฯลฯ ในขณะที่ RAM มีเนื้อที่จำกัด และไม่เพียงพอต่อการทำงานของระบบ
2. การแก้ไขปัญหานี้ จำเป็นต้องมี อย่างน้อย 2 Partition คือ Drive C, Drive D ...
3. เมื่อ จัดการตามนี้แล้ว จะได้หน่วยความจำ-จำลอง เพิ่มขึ้น ตามที่เรากำหนด โดยอาศัยเนื้อที่ของ Drive อื่น ที่ไม่ใช่ Drive C
4. การจัดการวิธีนี้ Windows ให้ function มาด้วย แต่มักไม่มีใครคิดถึงประโยชน์ของมัน บังเอิญเคยทำงานด้าน IT มาบ้าง ไม่รู้ทุกเรื่อง เพราะเป็นแค่หัวหน้าเขา

ขอแนะนำให้ทดลองทำตามขั้นตอนต่อไปนี้

1. เข้า Control panel แล้วเลือก System
2. ที่ System Properties เลือก Advance
3. ที่ Performance เลือก Settings
4. ที่ Performance Options เลือก Advanced
5. ที่ Advanced ดูที่ Virtual Memory คลิ๊กที่ Change
6. ในหน้าต่าง Virtual Memory ที่ Drive C ให้ Tick ที่ No Pagefile จากนั้นให้เลือก Drive อื่นที่ไม่ใช่ Drive C เช่น D
7. Tick ที่ Custom Size
8. ที่ Initial Size (MB): เอาตัวเลขจาก ข้างล่าง (Currently Allocated ......) มากรอกไว้
9. ที่ Maximum Size : ใส่ 4096 (ประมาณเอาจากปัจจุบันการใช้ดาวน์โหลดมาก และHardisk มีขนาดใหญ่ 80 GB ขึ้นไป) อาจลดลงมาได้ โดยกำหนดตัวเลขที่ ใช้ 128 หารได้ลงตัวเพื่อให้สอดคล้องกับ RAM ที่ใช้ (ขนาดของ RAM ปัจจุบันขอแนะนำว่าไม่ควรน้อยกว่า 1 GB เพราะเมื่อเปิดเครื่อง Windows จะ Run และกิน RAM ไป หลายร้อย MB แล้ว ถ้ามีโปรแกรมมากอาจกว่า 512 MB ไปแล้ว)
10. คลิ๊ก Set
11. คลิ๊ก Apply
12. คลิ๊ก OK
13. เครื่องจะเตือนให้ Restart เพื่อความสมบูรณ์ในการ Chang ครั้งนี้
14. นอกจากวิธีนี้แล้ว ยังต้องคอยหมั่นกวาดขยะในเครื่อง ด้วยโปรแกรมต่างๆ เช่น Tweak, Advance System Optimizer เพื่อ 
ให้ได้เนื้อที่เหลือไว้ใช้งานสูงสุดตลอดเวลา

หวังว่า พอจะเป็นประโยชน์บ้าง

Internet บางเว็บไซต์ใช้งานไม่ได้ แก้ปัญหาเบื้องต้นได้

วิธีแก้ปัญหาเบื้องต้นง่าย ๆ
กรณีเข้าใช้ Internet ไม่ได้บางเว็บไซต์ เช่น เว็บไซต์  Hotmail , Facebook  เป็นต้น แต่สามารถเข้าใช้งานเว็บไซต์อื่นได้ เช่น เว็บไซต์  Sanook , Kapook  มีวิธีแก้ไขดังนี้
1. ให้  User เปิด  Internet Explorer 7.0  ขึ้นมา
2. เลือก menu  Tools จากนั้นเลือก  menu  Internet  Options
3. เลือก menu  Connections  ดังรูปภาพ
การแก้ไขปัญหา Internet ใช้งานไม่ได้บางเว็บไซต์
4. เลือกคำสั่ง  LAN settings
5. เลือกคำสั่ง Advanced  ดัีงรูปภาพ
2n
6.  ทำเครื่องหมายถูก หน้าคำสั่ง  Use the same proxy server for all protocols   ดังรูปภาพ
การแก้ไขปัญหา Internet
7. เลือก O.K. ทั้งหมด  แล้วปิดโปรแกรม Internet Explorer
8. ทำการเปิด  Internet Explorer 7.0  แล้วทดสอบเข้าเว็บไซต์ อีกครั้ง
*** ถ้าหาก แก้ไข   proxy  แล้วยังไม่สามารถใช้งานได้อีก จะต้องทำการ Update Internet Explorer  เป็นเวอร์ชั่น 8 .0 ***

Server Virtualization คืออะไร?

Server Virtualization คือ การบริหารจัดการทรัพยาการบนเครื่องคอมพิวเตอร์ ให้จำลองเสมือนว่ามีหลายเครื่องอยู่ในเครื่องเดียวกันโดยเรียกชื่อเครื่อง จำลองเหล่านั้นว่า Virtual Machine (VM) ที่บอกว่ามีหลายๆ เครื่องมาอยู่บนคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวกันนั้น เครื่อง VM ก็ต้องมีความเป็นส่วนตัว (privacy) และอิสระจากกัน เช่น จะลง Windows ต่าง version ก็ได้ เป็นต้น มี Software ที่ใช้ทำ Virtualization ที่ได้รับความนิยม ได้แก่ VMware และ Hyper-V เป็นต้น ส่วนใหญ่ VM ก็มักใช้เป็น Windows หรือ Linux
เรื่อง Virtualization นั้นเป็นเรื่องที่โยงไปหลายส่วนของ IT ในตอนนี้เป็นเรื่องการทำ Server Virtualization บนเครื่องที่ใช้ CPU ของ Intel หรือ AMD เท่านั้น!!

Virtualization ทำงานอย่างไร

หากเรามอง ส่วนประกอบของ Hardware ที่สำคัญของคอมพิวเตอร์ คือ CPU, RAM, Disk และ Network ในรูปที่ 1 ด้านซ้ายมือ จะเห็นว่า Operating System (OS) สมมุติว่า OS เป็น Windows ขณะที่ทำงานเมื่อ Windows จะเรียกใช้ Hardware มันต้องอาศัย BIOS ช่วยไปจัดการให้ การทำ Virtualization ก็เปรียบเสมือนเพิ่มคนกลางเข้ามาระหว่าง Windows กับ BIOS ในรูปที่ 1 ด้านขวามือ ตั้งชื่อว่า Hypervisor หรือบางคนอาจเรียก Virtual Machine Manager (VMM) ในระบบนี้ OS ทำอะไรก็ต้องผ่าน Hypervisor ตลอด (คำว่า Hypervisor นี้คิดค้นโดย IBM ตั้งแต่ยุค Mainframe)
imageimageVirtualization Type – 1 Native (Bare metal)
การแบ่งประเภทของ Virtualization
การสร้างระบบ Virtualization ได้กำหนดชื่อเรียกตัว software ที่ทำหน้าที่ virtual ว่า Hypervisor หรือ Virtual Machine Manager (VMM) ได้มีการแบ่ง hypervisor ออกเป็น 2 ประเภทคือ
  • Type 1 – native หรือ bare metal คือ การที่ hypervisor ถูกติดตั้งบน Physical Server โดยไม่ต้องมี OS ติดตั้ง (รูปที่ 1 ด้านขวามือ) ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ในรูปแบบนี้ คือ VMware ESX, Citrix Xen Server และ Microsoft Hyper-V แบบนี้จำง่ายคือ ลง Hypervisor ไปแล้วจะไม่มีการติดตั้ง Application ใดๆ บน hypervisor (แม้ว่า Hyper-V จะทำได้แต่เราไม่ควรลง software ที่ไม่จำเป็นที่ Root )
  • Type 2 – hosted คือ การที่ hypervisor ทำงานเหมือน application บน OS ตัวอย่าง ผลิตภัณฑ์ได้แก่ VMware workstation, Microsoft virtual PC และ Oracle Virtual Box เป็นต้น แบบนี้จำง่ายคือ เมื่อได้ hardware มาแล้วก็ลง OS เช่น Windows แล้วลง virtual ในฐานะเป็น application ตัวหนึ่งเช่นเดียวกับการลง Microsoft Office
    ประเภทเทคนิคของการสร้าง Virtualization
  • Full Virtualization คือ เทคนิคการทำ virtualization ที่ guest machine เห็นอุปกรณ์ทุกอย่างจำลอง ทั้งหมด เมื่อ guest ที่ต้องติดต่อกับ hardware ตัว virtualization จะต้องทำ binary translation โดย VMM จะดัก hardware call จาก guest OS และแปลงคำสั่งนั้นให้อยู่ในรูปแบบที่ Host OS ทำงานได้ การแปลงนี้ต้องใช้ทรัพยาการมาก ทำให้เครื่องทำงานช้าลงและลดประสิทธิภาพของเครื่อง
  • Paravirtualizationคือ เทคนิคที่ใช้เพิ่มประสิทธิภาพให้กับ virtualization ในส่วนที่ guest machine เคยต้องจำลองอุปกรณ์ต่างๆ เมื่อทำงานบน virtual นั้น การออกแบบ paravitualization ได้ตัดการแปลงคำสั่งเหล่านี้ออกไปและไปสร้างเป็น software interface บน VMM ในรูปแบบของ driver และเครื่องมือต่างๆ มาแทนParavirtualization ต้องการ CPU ที่สนับสนุนด้วยนั่นคือ Intel-VT หรือ AMD-V หน้าที่ตรงนี้ได้แก่ เรื่องของการจัดสรร Memory ของ Server ที่จำนวน RAM มากๆ ที่มีตำแหน่งกระจายไปทั่วๆ แต่ต้องทำให้ guest เห็นว่าเป็นผืนที่มีตำแหน่งเรียงกันเราเรียกส่วนนี้ว่า hardware page table virtualization เนื่องจาก quest OS ไม่สามารถไปจัดสรร physical memory จริงๆ ได้ จึงต้องอาศัย VMM ที่ดูแลการใช้ memory จาก quest หลายๆ ตัว ในเวลาเดียวกันได้ ส่วนนี้มีชื่อเรียกว่า Intel Extended Page Table (EPT) หรือ AMD Nested Page Table (NPT)

Microkernal vs. Monolithic Hypervisor

ส่วนนี้จะ เกี่ยวข้องกับการออกแบบ Device Driver ที่มีอยู่ 2 แนวทางคือ Microkernal และ Monolithic ตามภาพด้านล่างคือ แบบแรก Monolithic ต้อง Driver ที่ออกแบบมาให้ใช้สำหรับ Virtualization ตัวอย่างคือ VMWare เมื่อผู้ใช้ติดตั้ง Hardware ใหม่ ก็ต้องหา Driver ที่รับรองว่าใช้งานกับ VMware ได้  สำหรับ Microsoft ได้เลือกแบบ Microkernal เมื่อผู้ใช้งานมี hardware ใหม่ติดตั้งใน Host ถ้าหากเป็นระบบ Windows แบบเดิมๆ ที่ไม่ใช่ virtualization ก็ลง Driver ไปที่ตัว OS แต่เมื่อเราติดตั้ง Hypervisor ลงไปแล้ว เมื่อมี Hardware ใหม่ ก็ใช้ Driver ตัวเดียวกับ OS ที่ลงบน Physical พูดง่ายๆ ก็คือ ผู้ใช้งาน Hyper-V เมื่อมี Hardware ใหม่ติดตั้ง ก็นำ Driver ของ Windows มาใช้ได้ ส่วนการทดสอบ compatability นั้นก็เป็นเรื่องปกติที่ ผู้พัฒนาเค้าไปทดสอบกับ Microsoft
ข้อดีของ Microkernal
      1. ทำให้ Hypervisor มีขนาดเล็ก จึงเพิ่มประสิทธิภาพของ Hyper-V (Improve performance)

    2. มี Driver ให้เลือกมาก เพราะออกตาม OS
image
Hypervisor Basic by BrianEhlert

ประโยชน์ของ Virtualization

1. Versioning
2. ไม่ยึดติดกับ Hardware
3. ดูแลง่าย
4. ใช้ประโยชน์จาก Hardware ได้มากขึ้น
5. ลดค่าใช้จ่าย
6. ลดเวลาและส่งมอบงานได้รวดเร็ว
รูปแบบการนำไปใช้งาน
ในยุคแรก ของการใช้ Virtualization สำหรับ Guest OS ที่เป็น Windows มักใช้สำหรับการพัฒนาโปรแกรม และการทดสอบระบบงาน เมื่อผู้ใช้งานมั่นใจและการพัฒนาของ Hypervisor ก้าวหน้ามากขึ้น Virtualization ก็ถูกนำไปใช้ในงาน Production และงาน Critical Tier-1 Application
ขอแถมคำ อธิบายแบบลูกทุ่งด้วยว่า VM ยังนำมาใช้งานบนคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เช่น กรณ๊เราอยากมี Windows หลายๆ ตัวอยู่บนเครื่องเรา เช่น บางตัวทำงาน บางตัวเล่นเกมส์ เป็นต้น การนำมาใช้สำหรับมือใหม่ก็ขอติดตามจาก vm360degree ที่นี่
Microsoft Hyper-V
Microsoft ได้พัฒนา Hypervisor แบบ bare metal สำหรับ CPU x86 และ x64 ให้ชื่อว่า Hyper-V โดยเป็นส่วนหนึ่่งของ Windows Server 2008 64 bit อาจมีความสับสนว่าเวลาติดตั้ง Hyper-V ก็ต้องลง Windows Server ก่อน แล้วเป็น bare metal ได้ยังไง เพราะ bare metail ไม่ต้องลง OS นั้น คำตอบคือเป็น bare metal ได้ เนื่องเมื่อเราเปิดใช้งาน Hyper-V ตัว Windows จะเหมือนถูกยกให้ลอยขึ้น จับ Hypervisor ไปวางข้างใต้ แล้วขั้นตอนสุดท้ายก็แปลงร่าง Windows ที่ตัวนั้นเป็น Virtual Machine ตัวแรก ให้ชื่อว่า Root Partition
        Hyper-V เป็น Paravirtualization ตามที่กล่าวไปข้างต้น ในขั้นตอนการเตรียม Hardware จะต้องมี CPU ที่ Support virtualization ถ้าไม่มีก็ถือว่าขาดคุณสมบัติ ทำไม่ได้ การตรวจสอบ CPU ทำได้ทั้งตรวจสอบจาก web site ของ Intel (กด
        ) หรือ AMD (กด
        ) หาดูว่า Virtualization Technology ที่เป็น Yes หรืออาจ download tools ไปตรวจได้จา
        (ในข้อ 2.1Hyper-V Architecture)
จากรูปที่ 2 แสดงให้เห็นว่าใน Hyper-V Server จะมี Hypervisor มาวางขวางระหว่าง Hardware กับ OS ใน virtualization เราสามารถสร้าง VM หลายๆ ตัว บน Hardware เดียวกันได้ เราเรียกการแบ่ง VM เป็นคำว่า Partition มี 2 แบบคือ Root กับ Child แต่ละ Partition จะทำงานแยกจากกัน
      Root Partition คือ partition แรก ที่ Microsoft สร้างบนเครื่องของเรา ตอนเปิดใช้งาน Hyper-V (รูปที่ 2 ซ้ายมือ) มีสิทธิพิเศษเหนือกว่าใครเพราะเป็นพี่ใหญ่สุด มันมีสิทธิใช้งาน Hardware ต่างๆ ได้ การสร้าง VM ก็ทำโดย Root โดยเรียกผ่าน API บน Hypervisor ที่เรียกว่า Hypercalls
อยากให้จำ ตรงนี้ให้ดีว่า ถ้าเราลง Hyper-V ไปแล้ว Windows ที่เราใช้งานบนเครื่องนั้น เป็น virtual machine ตัวหนึ่งที่เรียกว่า root แต่มันเจ๋งกว่าใคร เพราะเห็น hardware จริงๆ ได้ เครื่อง VM อื่นๆ ที่เราสร้างมาภายหลังไม่มีสิทธิเห็น ตัวยอย่างชัดๆ ได้แก่ ถ้าเสียบ Thumb Drive ตัว Root จะเห็นคนเดียว พวก VM อื่นๆ จะมองไม่เห็น เป็นต้น
image
รูปที่ 2 – Hyper-V Architecture (ภาพจาก MSDN)
CPU/Processor และ Memory, เครื่อง VM จะไม่มีสิทธิใช้สั่ง CPU และ Memory ได้ ที่มันเห็นจะเห็น virtual processor และ virtual memory address region ที่ถูกจัดสรรเป็นส่วนตัวสำหรับแต่ละ Partition เมื่อ VM จะใช้ CPU มันจะทำผ่าน Hypervisor ด้วยวิธีการ redirect คือ VM ผ่าน Hypervisor ไปยัง CPU และขากลับ Hypervisor กับรับงานมาจาก CPU และส่งกลับไปให้ VM ซึ่งในส่วนของ Memory ก็มีลักษณธใกล้เคียงกัน คือทำการ Remap physical memory address ให้ VM

VMBus และ Virtual Device

    Root Partition ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการติดต่อกับ I/O Devices พวก Driver ต่างๆ ก็ถูกติดตั้งบน Root Partition (ย้ำ!! Driver ไม่ได้อยู่ใน Hypervisor นะ) เมื่อ Child Partition ต้องการใช้งาน I/O ต่างๆ ก็จะผ่านช่องทาง high-speed interconnect ที่เรียกว่า VMBus ตัวที่รับงานใน Root Partition มีชื่อเรียกว่า Virtualization Services Provider แล้วส่วนของ Child Partition ก็มีชื่อว่า Virtualization Service Consumers (VSCs) ตัว VSCs นี้มีหน้าที่ redirect การใช้งาน I/O ไปที่ Root นั่นเอง
จากรูปที่ 3 ด้านล่างเป็นหน้าจอ Device Manager ด้านซ้ายเป็น Root Partition เราจะเห็น Driver ต่างเป็นอุปกรณ์ที่ต่อกับเครื่อง Server แต่ด้านขวาเป็น Child Partition จะเห็นว่า Driver ที่ต่อเป็น Virtual Device ชื่อจึงมีคำว่า Hyper-V ผสมอยู่ด้วย
imageimage
รูปที่ 3 Device Manager (ซ้ายเป็น Root Partition และขวาเป็น Child Partition)

Emulated vs. Synthetic Device Driver และ Enlightment

เนื่อง จาก Hyper-V เน้นความแรงส์ พวก Driver ที่ทำไว้ใช้งานใน Child Partition ก็ถูกออกแบบให้แบ่งเบาภาระของ Hypervisor และต้อง support Guest OS (Guest OS หมายถึง OS ที่ติดตั้งที่ Child Partition หรือง่ายๆ ก็คือ Windows หรือ Linux)  เจ้าตัว Driver ได้ถูกแบ่งเป็น 2 แบบคือ
1. Emulated device หรือเป็น device ยุคเก่าๆ ที่มีใช้ใน Virtualization ตั้งแต่ครั้งเป็น Microsoft Virtual Server 2005 พวก device แบบนี้มีข้อดีคือใช้ได้กับทุก Guest OS เพราะเป็นการทำงานในแบบเดิมคือ Guest เห็นข้อมูลใน BIOS แล้วคิดว่าตัวมันเองเป็น Physical computer การกำหนด device แบบนี้มักใช้ได้กุับ Guest OS ทุกตัว แต่มีข้อเสียคือประสิทธิภาพความเร็วสู้แบบที่ 2 ไม่ได้
2. Synthetic driver ตัวนี้จะมีประสิทธิภาพดี แต่ต้องตรวจสอบก่อนว่า Guest OS ว่า Support Hyper-V หรือไม่ ถ้าเป็น Windows มัน Support มาตั้งแต่ Windows 2003 Service Pack 2 มาแล้ว จากรูปที่ 3 กรอบสีน้ำเงินกับสีเหลืองได้แสดงตัวอย่างของ Emulated กับ Sythetic ตามลำดับ
ข้อ ควรรู้ เห็นไหมว่าในรูปที่ 3 เครือ่งขวามือมี Storage Device 2 อันคือ ที่ช่องสีเหลืองของ IDE/ATA/ATAPI controller  มี Intel® 82371AB/EB PCI Bus Master IDE Controller ส่วนอีกอันอยู่ในช่องสีน้ำเงิน คือ SCSI ใน Hyper-V IDE Controller จะถูกใช้ตั้งแต่ boot แต่ SCSI จะถูก load หลังจาก start guest OS ขึ้นมา นี่เป็นเหตูผลที่ ต้องมี IDE Disk สำหรับใช้ boot เครื่องเสมอ
 สำหรับการแนะนำ Server Virtualization ตอนที่ 1 มีพบเท่านี้  ตอนถัดไปเป็นเรื่อง ขั้นตอนการติดตั้ง Hyper-V ครับ
 Reference:
2. How computer work: A simple introduction from Explain that Stuff  (http://www.explainthatstuff.com/howcomputerswork.html)
3. Hyper-V Server is Finally Here – But What Exactly Is It? (http://blogs.vmware.com/virtualreality/2008/10/hyper-v-server.html)
5. Comparing Citrix XenServer™, Microsoft Hyper-V™ and VMware ESX™  (http://www.thinclientpricing.com/docs/Citrix_XenServer_HyperV_VMware.pdf)
8. The difference between the Microsoft’s Hyper-V and the VMware’s ESX hypervisor  (http://4sysops.com/archives/the-difference-between-the-microsofts-hyper-v-and-the-vmwares-esx-hypervisor/)
10. Netherland Hyper-V Community (http://www.hyper-v.nu/)
11.  Cloud Infrastructure Platforms และ Virtualization Types (http://www.microsoft.com/thailand/technet/cloud4.aspx)

ระบบ Cloud คืออะไร? และ มันดีอย่างไร?

หลายต่อหลายคนอาจเห็นบทความและเรื่องราวเกี่ยวกับ Cloud มากมายในทุกวันนี้ แต่พอยิ่งอ่านไปก็ยิ่ง งง ว่าตกลงแล้ว Cloud มันคืออะไร และมันดียังงัยถึงมีการนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน บทความสั้น ๆ นี้จะสรุปเกี่ยวกับระบบ Cloud และประโยชน์ต่าง ๆ ของ Cloud เพื่อให้มองเห็นภาพชัดเจน และสามารถเข้าใจได้ว่า ระบบ Cloud มันเป็นอย่างไร
Cloud คือการทำงานร่วมกันของเซิร์ฟเวอร์จำนวนมาก โดยแบ่งชั้นการประมวลผลออกจากชั้นเก็บข้อมูล ซึ่งการแบ่งนี้แต่ละที่อาจจะแบ่งได้หลายชั้นหรืออาจจะไม่เหมือนกับที่ผมบอก เพราะการ Design ในแต่ละองค์กรไม่เหมือนกันเอาเป็นว่าการอธิบายแบบพื้น ๆ ของระบบ Cloud ก็แล้วกันครับ ข้อมูลที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้ผมอ้างอิงจาก บริษัทที่ให้บริการเช่าเว็บและเซิร์ฟเวอร์เสมือน เรามาดูกันเลยครับ
1. ชั้นการประมวลผล (Computing layer) เป็นการร่วมกันทำงานของเซิร์ฟเวอร์จำนวนมาก หากมีเซิร์ฟเวอร์ใดเสียหาย ก็จะไม่มีผลกับการใช้งานของผู้ใช้งานระบบ เพราะมันจะสวิทช์การทำงานไปยังเซิร์ฟเวอร์ตัวอื่นแทนโดยอัตโนมัติในทันที เว็บหรือเซิร์ฟเวอร์เสมือน หรือ ฯลฯ จะทำงานประมวลผลในชั้นนี้ ซึ่งระบบจะแบ่งทรัพยากร CPU, Memory ให้ตามจำนวนที่ท่านใช้งาน และแยกทรัพยากรกับงานอื่น ๆ หรือระบบอื่น ๆ อย่างชัดเจน พร้อมมี Firewall ป้องกันระบบของท่านจากผู้ใช้อื่นด้วย
2. ชั้นเก็บข้อมูล (Storage layer) เป็นการทำงานร่วมกันของระบบเก็บข้อมูลแบบ SAN (Storage network) ที่มีความเสถียร และความเร็วสูง โดยสามารถย้ายไปใช้งาน SAN (Storage network)สำรองได้ทันทีที่เกิดเหตุขัดข้องเสียหายของอุปกรณ์หลัก โดยส่วนใหญ่จะใช้ SAN (Storage network) อย่างน้อย 2 ตัว ซึ่งมีข้อมูลที่เหมือนกัน (Replicate) ตลอดเวลา ข้อมูลต่าง ๆ จะถูกเก็บไว้ที่ชั้นนี้
เครือข่ายเน็ตเวิร์คความเร็วสูง จะเป็นตัวเชื่อมระหว่างชั้นการประมวลผล และชั้นเก็บข้อมูล เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถรับส่งข้อมูลได้อย่างทันใจตลอดเวลา
ระบบ Cloud บางแบบยังรองรับการขยายหรือหดตัวโดยอัตโนมัติสำหรับเซิร์ฟเวอร์เสมือน เมื่อการใช้งานเพิ่มหรือลด ตามที่ได้กำหนดไว้
ดังนั้น ด้วยระบบ Cloud แท้จริง โดยการทำงานร่วมกันของเซิร์ฟเวอร์จำนวนมาก และการแยกส่วนของการทำงานแบบเป็นระบบนี้ ทำให้การทำงานของเว็บหรือเซิร์ฟเวอร์เสมือน ไม่ติดขัด
และมั่นใจได้ตลอดเวลา แตกต่างจากเว็บโฮสติ้ง หรือ เซิร์ฟเวอร์ธรรมดาทั่วไป ที่หากเกิดการติดขัดเสียหายของอุปกรณ์นั้น ๆ ก็จะทำให้การทำงานหยุดลงโดยไม่มีระบบทดแทน
ประโยชน์ของคลาวด์ที่เห็นได้อย่างชัดเจน ได้แก่ เพิ่มความคล่องตัว ลดค่าใช้จ่าย เสริมความยืดหยุ่น มีความปลอดภัยและพร้อมนำไปใช้งาน แต่ซีอีโอและผู้นำทางธุรกิจอาจต้องการพิจารณาด้านอื่นๆ ของการประมวลผลด้วยคลาวด์ที่จำเป็นให้ครบถ้วน ก่อนจะถึงกระบวนการพัฒนา เช่น ประเด็นด้านความปลอดภัย และการอินทิเกรตบริการคลาวด์เข้ากับระบบไอทีเดิมที่มีอยู่ เป็นต้น
เมื่อความต้องการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์มีเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ศูนย์คอมพิวเตอร์ต้องดูแลรักษาคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์จำนวนมาก หลาย องค์กรมองหาโซลูชั่นส์ที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและลดภาระเรื่องการดูแลรักษา ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์อันเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงขององค์กร ดังนั้น ระบบประมวลผลที่สามารถจัดสรรทรัพยากรได้อย่างรวดเร็ว สอดคล้องกับความต้องการทางธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจของยุค ปัจจุบัน
Cloud Computing เป็น Business Model รูปแบบใหม่ของการให้บริการด้านไอที เพราะ ด้วยรูปแบบการประมวลผลที่อ้างอิงกับความต้องการของผู้ใช้และวิธีการจัดเก็บ ค่าบริการตามการใช้งาน ภายใต้การทำงานของซอฟต์แวร์ที่สามารถเพิ่มและลดทรัพยากรได้ตามความเหมาะสม ด้วยวิธีการที่ไม่ยุ่งยากและไม่ซับซ้อน จะช่วยให้ท่านบริหารจัดการงานไอทีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยประโยชน์ทางธุรกิจที่สำคัญของคลาวด์มีด้วยกันสองด้าน คือ ประโยชน์ด้านการเงิน และประโยชน์ด้านการตอบสนอง
ผลประโยชน์ด้านการเงิน
คลาวด์ก่อให้เกิดประโยชน์ครอบคลุมเกี่ยวกับงบการเงิน:
  • ลดค่าใช้จ่าย โดยค่าใช้จ่ายจะต่ำลงเมื่อใช้บริการคลาวด์ เปรียบเทียบกับการต้องสร้างและบำรุงรักษาระบบด้วยตนเอง
  • ลดต้นทุนโดยรวมในการเป็นเจ้าของ โดยลงทุนจริงเท่าที่ใช้งาน และยังได้ความรวดเร็วในความพร้อมใช้งานอีกด้วย
  • ลดงบลงทุนค่าใช้จ่ายของไอที โดยเปลี่ยนการลงทุนเป็นการจ่ายค่าดำเนินการแทน
  • ปรับปรุงค่าใช้จ่ายได้ตามการบริหารจัดการกระแสเงินสดของธุรกิจ โดยจ่ายเฉพาะบริการที่จำเป็นต้องใช้จริงๆ ได้
ประโยชน์ด้านการตอบสนอง
คลาวด์ช่วยให้องค์กรมั่นใจในการตอบสนองตามความต้องการทางธุรกิจ ด้วย:
  • ทรัพยากรสำหรับประมวลผลและระบบมีพร้อมใช้งานได้ทันทีตามความต้องการทางธุรกิจ
  • เข้าดึงคลาวด์ได้หลากหลายช่องทาง จึงมั่นใจได้ว่าข้อมูลและแอพพลิเคชันจะพร้อมใช้งานได้จากทุกที่ทุกเวลา
  • คล่องตัวมากขึ้นด้วยคลาวด์ จึงช่วยให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่าง รวดเร็วด้วยทรัพยากรด้านไอทีที่เหมาะสม
การลดค่าใช้ของระบบ Cloud
ก็คงมาดูพื้นฐานของการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของหน่วยงาน องค์กรต่างๆ ว่าถ้าเรามีบริษัท หรือทำงานในบริษัทที่มีพนักงานตั้งแต่ 5-6 คน ไปจนถึงบริษัทขนาดใหญ่มีหลายร้อยคน
สิ่งหนึ่งที่ปัจจุบันเราต้องมีก็คือเครื่องคอมพิวเตอร์ และเมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ต้องทำงานร่วมกัน เช่น
1. มีการรับส่งไฟล์ ใช้ไฟล์ร่วมกัน เช่นข้อมูลยอดขาย ข้อมูล stock สินค้า ไฟล์ presentation ต่างๆ
2. มีการใช้โปรแกรมสำเร็จรูปต่างๆ ภายในองค์กร ตั้งแต่ ระบบ mail ระบบบัญชีการเงิน ระบบ crm
ก็จะเห็นว่าการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงกันภายในองค์กร จำเป็นต้องมีเครื่อง server และห้องคอมพิวเตอร์เก็บเครื่อง server โดยที่บริษัทที่มีขนาดใหญ่ จะมี server จำนวนมาก มีการลงทุนในระบบ server และห้อง data center นี้หลายล้านบาท ถือเป็น fixed cost ในการลงทุน หรือเรียกว่า capex เวลาเราทำงบประมาณ – capital expenditure
นอกจากนี้ยังต้องมีค่าใช้จ่าย opex หรือ operation expenditure ก็คือค่าใช้จ่ายในการดูแล data center นี้ไม่ว่าจะเป็นค่าจ้างพนักงาน ค่าไฟฟ้า ทั้งในส่วนเครื่องคอมพิวเตอร์ และค่าแอร์
ดังนั้น แนวคิดของ cloud computing ส่วนหนึ่ง ก็จะเป็นการหาแนวทางในการลดค่าใช้จ่ายต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งแนวคิดเรื่องการลด Capex กับ Opexก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่อะไร แนวคิดที่มีมานานหลายปีแล้วก็คือเรื่องของการ outsourcing หลักการโดยสรุปของ outsourcing มีอยู่ 2 ประเด็นใหญ่ๆ ก็คือ
การ แบ่งส่วนงานที่เราไม่เชี่ยวชาญ ไปให้มืออาชีพที่มีความรู้ด้านนี้มาทำแทนเรา แทนที่จะต้องเสียเงินไปจ้างพนักงานประจำเงินเดือนแพงๆ แต่ใช้งานได้ไม่คุ้มค่า เพราะเนื้องานที่ต้องทำมีไม่มากพอ
การลดการ ลงทุนเริ่มต้น ซึ่งในงานบางงานถ้าต้องทำเองเราอาจจะต้องมีการลงทุนเริ่มต้นด้วยเงินจำนวน มาก เราก็ใช้วิธีเช่าบริการจากหน่วยงานที่ให้บริการเฉพาะด้าน แล้วจ่ายเป็นค่าบริการรายเดือนไป เช่นการทำห้องเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งต้องลงทุนหลายล้านบาท ก็เปลี่ยนไปใช้บริการผู้ให้บริการ Data center ซึ่งเสียค่าเช่าต่อเดือนในระดับหมื่นบาท ก็จะเป็นการลดค่าใช้จ่ายได้มาก

สาเหตุและวิธีแก้ไขปัญหาเปิดไฟล์ PDF ไม่ได้

ปกติแล้วถ้าคุณมีโปรแกรมสำหรับวิวหรือแสดงไฟล์ PDF?เช่น Foxit Reader หรือ Adobe Reader เป็นต้น คุณจะสามารถเปิดไฟล์ .PDF ได้แน่นอน แต่บางครั้งทำไมถึงเปิดไฟล์ไม่ได้ ทั้งๆ ที่มีโปรแกรมติดตั้งอยู่แล้ว ปัญหานี้ได้เกิดขึ้นกับตัวเองและเพื่อนร่วมงานมาแล้ว

pdf


วิธีแก้ไขปัญหาเปิดไฟล์ PDF ไม่ได้ สามารถแบ่งออกได้ดังนี้
- โปรแกรมที่ใช้งานเป็นเวอร์ชั่นเก่า
แก้ไข โดยเฉพาะกับผู้ใช้งาน Adobe Reader ที่เป็นเวอร์ชั่นเก่า อาจมีปัญหาเปิดไฟล์ไม่ได้ วิธีแก้ไขให้ download โปรแกรมเวอร์ชั่นใหม่มาติดตั้ง
- ไฟล์ PDF ที่ได้มามีปัญหา
แก้ไข ให้ตรวจสอบขนาดไฟล์ดู ถ้าไฟล์มีขนาด 0 ไบต์ แสดงว่าไฟล์มีปัญหา ให้คนที่ส่งให้เรา ส่งมาใหม่
- ไฟล์ PDF มีชื่อไฟล์เป็นชื่อภาษาอื่นๆ ที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ?
แก้ไข เคยเจอปัญหานี้บ่อยๆ แนะนำให้เปลี่ยนชื่อไฟล์เป็นภาษาอังกฤษ จากนั้นให้ทดสอบเปิดไฟล์ใหม่อีกครั้ง

 ที่มาของข้อมูล http://www.com5dow.com/

ทิปแก้ปัญหาเปิดไฟล์วีดีโอไม่ได้


สำหรับผู้ที่ต้องการคลุกคลีกับไฟล์วีดีโอคลิป จะคลิปเล็กคลิปใหญ่ก็อาจ มี  ปัญหาการเปิดไฟล์วีดีโอได้เหมือนกัน เพราะปัจจุบันไฟล์วีดีโอมีหลากหลายรูปแบบมากๆ ทำให้บางครั้งเราสามารถเปิดดูได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ซึ่งวีธีแก้นี้ไม่ยาก เพื่ยงแค่ติดตั้งโปรแกรมถอดรหัสสำหรับไฟล์วีดีโอนั้นๆ ซึ่งได้เคยแนะนำไปแล้ว  (อ่านข้อมูลย้อนหลังได้ที่หัวข้อ รวมมิตรโปรแกรมดูหนังฟังเพลง)
makeinstantplayer_mpalyer
ต้องการใส่ไฟล์วีดีโอให้คนอื่น แต่กลัวเขาเปิดไม่ได้
ปัญหานี้นี้แก้ไขได้ง่ายๆ เพียงแค่คุณแปลงไฟล์วีดีโอนั้นๆ ให้อยู่ในรูปแบบของไฟล์ .EXE ซึ่งสามารถเปิดได้ทันที โดยไม่ต้องง้อโปรแกรมประเภท Media Player ไม่ว่าจะเป็นวีดีโอรูปแบบไหน ผู้รับ ก็สามารถเปิดไฟล์วีดีโอนั้นๆ ได้ทันที  ส่วนหลักการนี้ เป็นการนำไฟล์วีดีโอและโปรแกรมเล่นมารวมกันนั่นเอง

MakeInstantPlayer

makeinstantplayer

  • สนใจ download MakeInstantPlayer ขนาดไฟล์ 6.68 MB
  • รองรับระบบปฏิบัติการ Windows XP

วิธีการใช้งาน MakeInstantPlayer
  1. เปิดโปรแกรม MakeInstantPlayer.exe
  2. คลิกที่หัวข้อ “Source File” เพื่อเลือกไฟล์วีดีโอ
  3. คลิกที่หัวข้อ “Output File” เพื่อเลือกโฟลเดอร์ที่ต้องการเก็บไฟล์ที่มีการแปลงแล้ว
  4. คลิกปุ่ม “Make it” ด้านล่าง เพื่อเริ่มแปลงไฟล์
  5. รอสักครู่ จะช้าเร็ว ขึ้นกับขนาดของไฟล์วีดีโอด้วย
  6. จะได้ไฟล์ที่มีนามสกุล .EXE ให้ทดสอบโดยการดับเบิลคลิกได้ทันที
เพียงแค่คุณ copy ไฟล์ที่ถูกแปลงนี้ ไปให้ใครก็ตาม วีดีโอนั้นๆ ก็จะถูกเปิดและเล่นแบบอัตโนมัติ เพียงแค่ดับเบิลคลิกที่ตัวไฟล์นั้นๆ  (ถ้าหาโปรแกรมไม่เจอ ให้ลองเข้าไปที่โฟลเดอร์ C:Program FilesMuldeRMakeInstantPlayer v1.38 แล้ว ดับเบิลคลิกเลือกไฟล์ MakeInstantPlayer.exe)
ที่มา http://www.it-guides.com/index.php/freeware-download/audio-video-freeware/1113-makeinstantplayer

12 วิธีการเพิ่มความเร็วให้ Windows 7 ติดจรวดเข้าไปอีก

สวัสดีครับทุกผู้อ่านทุกท่าน ทางทีมงานขอต้อนรับเดือนใหม่พร้อมกับเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ สำหรับเร่งความเร็ว Microsoft Windows 7 ในเครื่องโน้ตบุ๊กตัวเก่งของท่าน ให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพอยู่เสมอ ซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ดีๆ มาแล้วก็อย่าลืมว่าต้องดูแลโปรแกรมที่ติดตั้งลงไปด้วยนะครับ เครื่องของเราจะได้ทำงานอย่างดีที่สุดเต็มความสามารถ บางท่านปรับแต่งเก่งๆ อาจจะทำให้เร็วเกินร้อยเลยก็ได้ โม้มามากแล้ว ลองมาดู 12 วิธีการง่ายๆ กันดีกว่าครับ
1. ลบพวก Bloatware และโปรแกรมที่ไม่ใช้ออกจากเครื่อง
อย่างแรกต้องบอกกันก่อนว่า Bloatware คืออะไร Bloatware เป็นคำนามในภาษาอังกฤษครับ หมายถึง โปรแกรมที่เขียนออกมาใช้ทรัพยากรมากเกินไป หรือจงใจทำให้เครื่องทำงานหนักเกินเหตุ เครื่องของเราก็จะเกิดอาการหน่วงลงไปอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้น เวลาที่เราติดตั้งโปรแกรมอะไรต่างๆ ควรจะระวังพวก Toolbar ที่ติดมาด้วย นอกจากนั้นโปรแกรมที่เราไม่ได้ใช้งานแล้วก็ควรจะลบออกด้วยครับ คงไม่มีใครอยากให้โปรแกรมเปิดพร้อมกันเยอะๆ ทีเดียวเวลาที่เราบูตเครื่องใช่ไหมครับ เพราะมันจะทำให้การเปิดเครื่องเป็นเรื่องน่าเบื่อและเสียเวลา วิธีแก้ไขเบื้องต้นก็เข้าไปลบโปรแกรมพวกนั้นออกไปตามปกติ โดยเข้าไปที่ Control Panel -> Programs and Features และเรายังสามารถเข้าไปดูในส่วนของ “Turn Windows Features On or Off” เพิ่มเติม เพื่อลบความสามารถทีคุณไม่ได้ใช้งานออกจากระบบ หรือจะลองใช้โปรแกรมช่วยติดตั้งอย่าง Revo Uninstaller หรือ PCDecrapifier เพื่อช่วยในการลบโปรแกรมที่มักทิ้งขยะไว้ในเครื่องหลังติดตั้งก็ได้
01-Bloatware-

2. จำกัดจำนวน Process ที่จะเริ่มทำงานเวลาเปิดเครื่อง
เมื่อเราลงโปรแกรมเพิ่มเข้าไป ก็มีโอกาสที่จะมีโปรแกรมถูกสั่งให้เปิดขึ้นมาพร้อมกับ Windows ซึ่งโปรแกรมนั้นอาจจะจำเป็นหรือไม่จำเป็นก็ได้ สำหรับจะดูว่ามีอะไรสั่งให้ถูกโหลด ก็แค่ใช้เครื่องมือพื้นฐานที่ติดตั้งมากับ Windows แล้วครับ แค่เพียงกด Start Menu ขึ้นมาและพิมพ์ว่า MSCONFIG และกดเปิด จากนั้นจะมีหน้าต่างเปิดขึ้นมาใหม่ ให้เข้าไปที่หัวข้อ Start Up เราจะเห็นรายชื่อว่ามีโปรแกรมอะไรที่จะถูกโหลดขึ้นมาเวลาที่เราเปิดเครื่อง ซึ่งเชื่อได้เลยว่าหลายตัวไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับคุณนักหนาเลยเช่น GoogleUpdate หรือ GrooveMonitor Utility ของพวกนี้ส่วนใหญ่เราสามารถยกเลิกได้โดยไม่มีผลกระทบอะไรกับเครื่อง แค่อย่าไปปิดส่วนสำคัญๆ เข้าก็พอ แต่ถ้าไม่แน่ใจว่า Process ตัวไหนใช้ทำอะไร ลองเข้าไปหาดูได้ที่http://www.processlibrary.com/
02-Process-

3. เพิ่มแรมให้เหมาะสมกับโปรแกรมที่ใช้เป็นประจำ
ถึง Windows 7 จะไม่ได้กินทรัพยากรของเครื่องจนน่าตกใจแบบบรรพบุรุษที่ชื่อ Windows Vista (ยังมีใครจำได้ไหมเนี่ย ว่าเรามี Windows Vista อยู่บนโลก) แต่ถ้าคุณอัพเกรดมาจากเครื่องที่ใช้ Windows XP ล่ะก็ ขอให้มั่นใจว่ามีแรมอย่างน้อยๆ สัก 2 GB ติดอยู่กับเครื่อง ถ้าจะใส่ 4 GB ก็ไม่ใช่ปัญหาครับ ถ้าหาไดรเวอร์แบบ 64 บิต ให้อุปกรณ์ได้ทุกตัว แต่การติดมากกว่านั้นยังไม่จำเป็นเท่าไรหรอกครับ ถ้าวันๆ ใช้เครื่องเป็นแค่เล่น Facebook อะนะ
03-

4.  เปิดระบบ Index หรือ Windows Search ของ Windows
ไม่ว่าจะเป็น Windows XP หรือ Windows Vista จนกระทั่ง Windows 7 ในปัจจุบัน ระบบการทำ Index ของ Windows ที่ออกแบบมาเพื่อทำตัวระบุตำแหน่ง อาจจะส่วนให้การค้นหาไฟล์ต่างๆ ทำได้รวดเร็วขึ้น แต่หลายฝ่ายก็ยอมรับว่าเป็นระบบที่ใช้ทรัพยากรเครื่องเยอะมาก ถ้าหากต้องการค้นหาไฟล์ที่รวดเร็ว ขอแนะนำให้ใช้โปรแกรมเล็กๆ อย่าง Everything ซึ่งไม่เสียค่าใช้จ่าย เป็นโปรแกรมที่สามารถค้นหาไฟล์จากในเครื่องได้รวดเร็วมากจนคุณจะตกใจ สำหรับวิธีการปิดคำสั่ง Index ให้เข้าไปใน Control Panel -> Indexing Options เมื่อเปิดเข้าไปให้เลือก Modify เราจะเห็นตำแหน่งของไฟล์หรือสถานที่ที่จะ Index ถ้าใครอยากจะเก็บบางออฟชั่นไว้ก็ได้ หรือถ้าใครอยากจะได้ความเร็วแบบเต็มๆ เข้าไปที่ Control Panel -> Administrative Tools -> Services จากนั้นให้มองหา Windows Search จากนั้นสั่ง Diable ซะ
04-Index-Windows-Search-Windows

5. จัดเรียงข้อมูลในฮาร์ดดิสก์อยู่เสมอเพื่อประสิทธิภาพ
ขนาดของฮาร์ดดิสก์เราใหญ่โตขึ้นทุกวัน ทำให้เราสามารถเก็บข้อมูลได้เยอะแยะมากมาย แต่ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ หลักการทำงานของฮาร์ดดิสก์ยังคงเดิม ไฟล์ใหญ่ๆ ของคุณสามารถแตกออกเป็นส่วนๆ และกระจัดกระจายไปตามตำแหน่งต่างๆ ของฮาร์ดดิสก์ หัวอ่านจึงต้องทำหน้าที่หนักในการที่จะค้นหาไฟล์ให้ครบ วิธีการดูแลรักษาฮาร์ดดิสก์ให้เต็มประสิทธิภาพที่สุดก็คือ การจัดเรียงข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ (Defragment) Windows 7 มีตัวโปรแกรมสำหรับทำงานนี้มาให้แล้ว และสามารถตั้งเวลาในการทำงานได้ด้วยครับ ถ้าคุณอยากจะดูแลหลายๆ เครื่องพร้อมกันหลังเลิกงาน หรือว่าทำร้านเน็ต แค่พิมพ์ Defrag ในช่องค้นหา ก็จะเจอโปรแกรม Disk Defragmenter โปรแกรมในรุ่นนี้ได้รับการอัพเดตเพิ่มขึ้นมากจากรุ่นก่อน หรือถ้าอยากได้โปรแกรมที่เน้นการจัดการด้านนี้โดยเฉพาะ ก็สามารถทดลองพวก O&O Defrag หรือ Diskeeper ได้ครับ โปรแกรมพวกนี้จะสามารถจัดเรียงข้อมูลได้หลายแบบมากกว่า
05-

6. ปรับ Power Setting เป็น High Performance
ถ้าคุณผู้อ่านอยากประหยัดไฟจากแบตเตอรี่ก็อย่าใช้โหมดนี้นะครับ แต่ถ้าคุณเสียบสายตรงและอยากได้ประสิทธิภาพแบบเต็มไม่ต้องกลัวโดนกั้กก็เอาเลย แค่เปิดเข้า Control Panel -> Power Options จากนั้นมองหาที่แถบคำสั่งด้านซ้ายและเลือก “Create a Power Option” จากนั้นเลือก “High Performance” จากนั้นปรับแต่งให้เข้ากับการใช้งานของคุณครับ เครื่องของคุณจะไม่โดนลดความเร็วลงแล้วครับ
06-Power-Setting-High-Performance
ที่มาของข้อมูล  http://notebookspec.com/