วันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2555

SAN คืออะไรและมีประโยชน์อย่างไร?



ข้อมูล (Information) เปรียบเสมือนสินทรัพย์ที่ทรงคุณค่าขององค์กรธุรกิจ และเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการประมวลผล (Computing) ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูกจัดเก็บลงบนสื่อสำหรับเก็บข้อมูล (Media Storage) และถูกดึงมาใช้ด้วยโปรแกรม Application ต่าง ๆ ทั้งแบบที่ประมวลผลอยู่บนเครื่อง Server และเครื่องลูกข่าย (Client) และด้วยความที่ข้อมูลมีการจัดเก็บเพิ่มขึ้นและมีการเรียกใช้แทบทุกวินาที ดังนั้นข้อมูลจึงเปรียบเสมือนเงินทุนหมุนเวียนของธุรกิจด้วย
ข้อมูลในองค์กรธุรกิจได้ ทวีความสำคัญและเพิ่มปริมาณขึ้นอย่างยิ่งยวด (Exponentially)  ดังนั้นองค์กรต่าง ๆ จึงพยายามสรรหาวิธีการในการจัดเก็บข้อมูลที่ใช้ประโยชน์ได้เต็มขีดความ สามารถ (Capacity) ของระบบ ขนาดความจุที่เหมาะสม (Scalability) และมีความยืดหยุ่น (Flexibility) สูง ในขณะที่การควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บข้อมูลสามารถควบคุมได้ ซึ่งประเด็นความท้าทายหลักอยู่ที่การบริการจัดการข้อมูลและต้นทุนในการจัด เก็บข้อมูลไปด้วยกันอย่างมีประสิทธิภาพ โดยความท้าทายต่าง ๆ เหล่านี้ประกอบด้วย
         1. การเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลของข้อมูล (Dramatic Growth in Data) ที่รวมทั้งข้อมูลรายการธุรกรรม (Transaction Data) และข้อมูลอ้างอิง (Reference Data)
         2. ข้อกำหนด (Requirements) ที่เพิ่มมากขึ้นในการจัดเก็บข้อมูลเพื่อให้พร้อมสำหรับการเรียกใช้งานและ สามารถกู้ข้อมูล (Data Recovery) ได้อย่างรวดเร็ว เพื่อเป็นหลักประกันให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้และสามารถกอบกู้ระบบจาก ภัยพิบัติต่าง ๆ (Disaster Recovery)
         3. ความต้องการที่จะเข้าถึงข้อมูล (Data Accessibility) จากส่วนต่าง ๆ ขององค์กร เช่น ผู้ใช้งานทั่วไป ระบบต่าง ๆ หรือโปรแกรม Application ต่าง ๆ จากทั่วทั้งองค์กร ซึ่งจะก่อให้เกิดการประสานสอดคล้องกัน (Collaboration) ที่ดีขึ้น และเกิดการพัฒนาขีดความสามารถ (Capability) และบริการ (Services) อันมีแรงขับดันมาจากข้อมูล (Data-Driven)

นอกเหนือจากความท้าทาย ข้างต้นที่กล่าวมาแล้ว ข้อจำกัดด้านงบประมาณยังทำให้เกิดแรงผลักดันในการที่จะหาวิธีที่จะจัดเก็บ ข้อมูลที่ดีขึ้นด้วยต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่ต่ำลง ซึ่งที่ผ่านมานิยมใช้ระบบ Direct Attach Storage (DAS) ที่เชื่อมต่อแหล่งจัดเก็บข้อมูลเสริมเข้ากับ Server หรือ Platform โดยตรง แต่มีข้อจำกัดตรงที่ DAS เหมาะสมกับระบบที่มีจำนวนของ Server หรือ Platform มากนัก และประสบปัญหาด้านต่าง ๆ เช่น การบริหารจัดการข้อมูลตามมาเมื่อมีการเพิ่มจำนวนของ Server และการเพิ่มปริมาณของข้อมูลเมื่อเวลาผ่านไป อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการแบ่งปันข้อมูล (Data Sharing) ที่จำกัด เป็นต้น
รูปที่ 1 ระบบ Direct Attached Storage (DAS)
[source:
www.storagesearch.com]
จากปัญหาและข้อจำกัดของ ระบบ DAS ที่กล่าวมาข้างต้น ระบบการจัดเก็บข้อมูลในเครือข่ายหรือ Storage Area Network (SAN) ได้ถูกพัฒนาขึ้นและเข้ามามีบทบาทในการแก้ไขและลดข้อจำกัดของระบบการจัดเก็บ ข้อมูลแบบ DAS ซึ่ง SAN กำลังได้รับความนิยมในวงการระบบสารสนเทศสำหรับธุรกิจ (Enterprise IT) ซึ่งองค์กรที่มีการนำระบบ SAN ต่างก็มีความต้องการที่จะลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ ข้อมูลทางธุรกิจ

วิวัฒนาการของระบบ SAN
ข้อมูลที่เพิ่มขึ้นและคาด การณ์ว่าจะเพิ่มปริมาณขึ้นอย่างมากมายในอนาคตก่อให้เกิดความต้องการพื้นที่ ในการจัดเก็บข้อมูลที่เพิ่มขึ้นตามมา ดังนั้นเพื่อให้การบริหารจัดการข้อมูลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีต้นทุนต่ำลง ในขณะที่ความต้องการในการใช้พื้นที่ในการเก็บข้อมูลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบสารสนเทศในองค์กรมีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยน แปลงวิธีการจัดเก็บข้อมูลแบบดั้งเดิมมาเป็นแบบเครือข่าย
ระบบ DAS ที่กล่าวมาข้างต้น (แสดงในรูปที่ 1) เป็นระบบที่เคยถูกนำมาใช้ในการตอบสนองความต้องการในการจัดเก็บข้อมูลโดยมี หลักการทั่วไป คือ การเชื่อมต่ออุปกรณ์ในการจัดเก็บข้อมูลเสริมเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้ง แบบภายใน (Internal) และแบบ Point-to-Point
ในยุคต้น ๆ ของ DAS นั้น การเชื่อมต่อแบบ Small Computer System Interface หรือ SCSI เป็นเทคนิคมาตรฐานที่นำมาใช้อย่างกว้างขวางในการเชื่อมต่อระบบคอมพิวเตอร์ กับอุปกรณ์ในการจัดเก็บข้อมูล แต่ด้วยข้อจำกัดด้านระยะทางและความเร็วในการส่งถ่ายข้อมูลทำให้เกิดการพัฒนา เทคโนโลยี Fibre Channel (FC) เพื่อใช้ในการส่งถ่ายข้อมูลจาก SCSI โดยมี T11 (www.t11.org) เป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนามาตรฐาน Fibre Channels และ Fibre Channel Industry Association หรือ FCIA (www.fibrechannel.org) เป็นหน่วยงานในการทดสอบอุปกรณ์ที่ใช้กับ Fibre Channel และมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในปัจจุบัน Fibre Channel สามารถส่งถ่ายข้อมูลได้สูงถึง 2 Gbps และอยู่ในระหว่างการพัฒนาให้สามารถส่งถ่ายข้อมูลได้ถึง 10 Gbps และในช่วงปลายทศวรรษที่ 1990 ได้เกิดแรงผลักดันให้เกิดความต้องการระบบการจัดเก็บข้อมูลแบบเครือข่าย เนื่องจากข้อจำกัดด้านต่าง ๆ ของระบบ DAS ดังนี้
         1. แหล่งจัดเก็บข้อมูลเป็นลักษณะเฉพาะสำหรับแต่ละระบบหรือเครื่องคอมพิวเตอร์ ไม่สามารถเข้าถึงได้จากระบบหรือเครื่องคอมพิวเตอร์อื่น
         2. ผลจากข้อ 1 ทำให้เกิดการใช้แหล่งจัดเก็บข้อมูลดังกล่าวได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
         3. การสำรองข้อมูลใช้เวลานานและเป็นไปอย่างยากลำบาก
         4. การบริหารจัดการข้อมูลมีความซับซ้อนและสิ้นเปลืองทรัพยากรมาก

ปัจจัยเหล่านี้เป็นแรง ผลักดันที่นำไปสู่การพัฒนาระบบ Storage Area Network หรือ SAN (แสดงในรูปที่ 2) ซึ่งประกอบด้วย เครื่องคอมพิวเตอร์ (Hosts) และอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล (Storage Devices) เชื่อมต่อผ่าน Fibre Channels Switch ที่อาจมีมากกว่า 1 จุด ซึ่งในระบบ SAN โปรแกรม application ต่าง ๆ สามารถใช้พื้นที่ในการเก็บข้อมูลร่วมกัน
รูปที่ 2 ระบบ Storage Area Network (SAN)
[source:
www.allsan.com]
SAN เป็นวิธีใหม่ในการเชื่อมต่ออุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลเข้ากับ Server ซึ่งช่วยให้การจัดเก็บข้อมูลมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สามารถหลีกเลี่ยงคอขวด (Bottleneck) จากการจราจรทางระบบเครือข่าย  ข้อมูลสามารถถ่ายโอนจาก Storage ไปยัง Server ได้โดยตรงด้วยความเร็วสูงด้วยวิธีต่าง ๆ ด้งนี้
         1. Server to storage เป็นวิธีดั้งเดิมในการทำงานร่วมกับ Storage Device ซึ่งอาจเป็นการเข้าถึง (access) แบบตามลำดับ (Serial) หรือเข้าถึงจากหลาย ๆ Server ร่วมกัน
         2. Server to Server ใช้ในกรณีที่มีการส่งถ่ายข้อมูลในประมาณสูงระหว่าง Server
         3. Storage to storage ข้อมูลสามารถถ่ายโอนระหว่าง Storage Device โดยไม่ผ่านหรือพึ่งพา Server

แรงผลักดันที่อยู่เบื้อง หลัง SAN คือ การแบ่งปันหรือการใช้งานร่วมกันของอุปกรณ์ในการจัดเก็บข้อมูลทั้งแบบ Primary Storage และ Secondary Storage, ผลผลิตของผู้ใช้งานที่ดีขึ้น และลดความซับซ้อนในการบริหารจัดการข้อมูล ซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนสองส่วนประกอบหลักดังนี้
         1. Storage วัตถุประสงค์ของการใช้งานร่วมกันของ storage คือ การทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์มากกว่า 1 เครื่องในระบบเครือข่ายสามารถใช้อุปกรณ์ในการเก็บข้อมูลร่วมกันได้ อันเป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บข้อมูล
         2. Data วัตถุประสงค์ของการใช้งานร่วมกันของ data คือ การทำให้ application และผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงไฟล์ข้อมูลเดียวกันได้ โดยมีความเร็วที่สูงกว่าการใช้ไฟล์ข้อมูลร่วมกันผ่านทางระบบ LAN


ประโยชน์ที่ได้รับจากระบบ SAN
ประโยชน์ที่ระบบ SAN มีต่อธุรกิจนั้น สามารถตอบสนองต่อความต้องการของการจัดเก็บข้อมูลสำหรับธุรกิจที่ข้อมูลเป็น หัวใจสำคัญที่มีผลต่อประสิทธิภาพและความสำเร็จของธุรกิจ ดังนี้
         • ค่าใช้จ่ายรวมในการครอบครองที่ต่ำกว่า (Total Cost of Ownership) ในขณะที่การลงทุนในเบื้องต้นของระบบ SAN อาจจะสูงกว่าระบบ DAS แต่ความยืดหยุ่น (Flexibility) และความเหมาะสม (Scalability) ของ SAN จะช่วยลดต้นทุนและความซับซ้อนในการบริหารจัดการข้อมูลและคุ้มค่าต่อการลงทุน ในระยะยาว อีกทั้งระบบ SAN ยังสามารถออกแบบให้เหมาะสมต่อความต้องการใช้งานเฉพาะสำหรับองค์กรในทุกระดับ และสามารถขยายขีดความสามารถได้โดยไม่ทำให้ระบบโดยรวมต้องหยุดชะงัก

         • การบริหารจัดการจากจุดเดียว (Centralized Storage Management) โดยการบริหารจัดการแหล่งจัดเก็บข้อมูลจากหลาย ๆ จุด โดยใช้เจ้าหน้าที่ดูแลระบบจำนวนไม่มากนัก ซึ่งในระบบ SAN นั้น เจ้าหน้าที่ดูแลระบบ 1 คน อาจจะสามารถบริหารจัดการได้เป็น 4-7 เท่าของเจ้าหน้าที่ดูและระบบ DAS อันเป็นการประหยัดทรัพยากรบุคคลและลดต้นทุนในการบริหารจัดการ

         • การปกป้องข้อมูลที่ดีเยี่ยม (Superior Data Protection) ด้วยโครงสร้างระบบของ SAN สามารถเพิ่มฟังก์ชั่นการใช้งานในการสำรองและกู้ข้อมูล (Backup and Recovery) หรือการกู้ระบบจากภัยพิบัติต่าง ๆ (Disaster Recovery) ที่มีความสำคัญต่อธุรกิจ

         • การเพิ่มผลผลิตของผู้ใช้งาน (Increased User Productivity) ด้วยการลดข้อจำกัดด้านความแตกต่างทางเทคโนโลยีระหว่างข้อมูลและผู้ใช้งาน ทั่วทั้งองค์กร  SAN ช่วยให้เกิดการร่วมปฏิบัติงานกันอย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายอันเป็นการสร้างผลกำไรให้องค์กร

ระบบจัดเก็บข้อมูลในเครือ ข่ายหรือ Storage Area Network (SAN) ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยมีแรงผลักดันที่จะตอบสนองความต้องการของธุรกิจที่มี พื้นฐานของการดำเนินธุรกิจและผลลัพธ์ขององค์กรอยู่บนข้อมูล (Data) เป็นปัจจัยขับดันหลัก และ SAN ก็เป็นหนึ่งในระบบที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการดังกล่าว  แต่อย่างไรก็ตาม การนำระบบ SAN มาใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ยังคงต้องอาศัยความเข้าใจฟังก์ชั่นการทำงานต่าง ๆ ของ SAN  การแปลความต้องการของผู้ใช้งานให้เป็นข้อกำหนดในการออกแบบระบบ การวางระบบและการวางแผนการบริหารจัดการข้อมูลที่ดีก็ยังคงเป็นส่วนสำคัญที่ ขาดไม่ได้ นอกเหนือจากการเลือกสรรอุปกรณ์ของระบบให้ตรงกับความต้องการใช้งานที่แท้จริง และสามารถขยายระบบได้ในอนาคต

ที่มา: Micro Computer, Vol.26, No.275, June 2008

NAS คืออะไรและมีประโยชน์อย่างไร?


NAS คืออะไรและมีประโยชน์อย่างไร?

NAS ประกอบด้วยอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลแบบเฉพาะเจาะจงที่ใช้เชื่อมต่อเข้ากับระบบ เครือข่าย IP รูปแบบการเชื่อมต่อลักษณะนี้ จะสนับสนุนให้เครื่องคอมพิวเตอร์ใด ๆ ที่ เชื่อมต่อเข้ากับระบบเครือข่าย IP สามารถ Access หรือเข้าถึงเพื่อใช้งาน NAS ในระดับของแฟ้มข้อมูล

ระบบ NAS เป็นระบบที่ให้บริการแก่คอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ในระดับของแฟ้มข้อมูล โดยเฉพาะโปรโตคอลที่จัดการเรื่องการแชร์แฟ้มข้อมูลอย่างเช่น NFS และ CIFS ซึ่งส่วนใหญ่องค์กรที่ติดตั้งอุปกรณ์ NAS นี้ก็เพื่อรองรับการจัดเก็บข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้น หรือเพื่อบริหารไฟล์ข้อมูลเป็นหลัก แต่ในปัจจุบันสามารถรองรับการทำงานของแอพพลิเคชันและฐานข้อมูลด้วย NAS ที่ประยุกต์การใช้งานแบบวินโดวส์ ซึ่งเราสามารถจัดการกับอุปกรณ์ประเภทนี้แบบเดียวกับวินโดวส์เซิร์ฟเวอร์ทั่ว ๆ ไป

ซอฟท์แวร์สำรองข้อมูลสามารถติดตั้งลงไปในอุปกรณ์ NAS ได้โดยตรง การที่เทปไดรฟ์เชื่อมต่อโดยตรงกับอุปกรณ์ NAS ช่วยให้เราสามารถทำการสำรองข้อมูลแบบโลคอลได้ ดังนั้นระบบจึงไม่จำเป็นต้องโอนถ่ายข้อมูลสำรองผ่านเครือข่าย TCP/IP อีกต่อไป ผลที่ตามมาก็คือประสิทธิภาพในการสำรองข้อมูลที่เพิ่มสูงขึ้น

ทิปจาก http://www.value.co.th/

Flash BIOS แล้วเครื่องเจ๊ง

Flash BIOS แล้วเครื่องเจ๊ง ต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดเท่านั้นจริงหรือ ??

มีหลายคนที่มักเข้าใจผิด ๆ ว่า ถ้า Flash BIOS พลาดแล้วทำให้เครื่องเจ๊ง ต้องซื้อเมนบอร์ดมาเปลี่ยนใหม่เท่านั้น จริง ๆ แล้วยังพอมีทางเยียวยาให้หายได้เหมือนเดิม คือต้องถอดชิป CMOS ไปโปรแกรมใหม่ ซึ่งสามารถใช้บริการ ได้ตามร้านซ่อมคอม ฯ ทั่วไป เสร็จแล้วก็นำชิป CMOS มาติดตั้งลงบน Socket ตามเดิม โดยขั้นตอนแรกอย่าลิมเข้าไป Load Default ใน BIOS เสียก่อน จากนั้นก็สามารถใช้งานเครื่องได้ตามปกติ ถ้าคุณไม่สามารถทำเองได้ก็ยกไปใช้ช่างทำเองทั้งหมดก็ได้ ค่าใช้จ่ายประมาณ 300-500 บาท
บทความจากเว็บไซต์ bcoms.net

Chkdsk และ Defrag เกี่ยวข้องกันอย่างไร แล้วทำไมต้องใช้

Chkdsk และ Defrag เกี่ยวข้องกันอย่างไร แล้วทำไมต้องใช้

ทั้งสองคำสั่งนี้ไม่ ได้มีความเกี่ยวข้องกันเลย Chkdsk เป็นคำสั่งที่ใช้ในการตรวจสอบดิสก์จากปัญหาของการเกิด
Cross-linked นั้นจะมาจาก Lost Chain ก่อน ซึ่ง Lost Chain นี้เป็นปัญหาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพื่อเป็นการป้องกัน
ที่ดีที่สุดก็คือการใช้ Chkdsk เสมอๆ Lost Chain อาจเกิดขึ้นได้จากการที่มีการอินเทอร์รัปต์ระหว่างที่ใช้งาน เช่น กำลัง
ใช้วินโดวส์แล้วเกิดไฟฟ้าดับ เมื่อเปิดเครื่องใหม่ก็ลองใช้คำสั่งต่อไปนี้ดูนะครับ จะพบว่ามี Lost Chain Chkdsk

ชื่อไดรฟ์ /F/V ค่า /F และ /V จะเป็นการแสดงรายชื่อของไฟล์ที่ตรวจสอบออกมาทางจอภาพและให้แก้ไขความผิดพลาด
ที่ตรวจพบด้วย ในเรื่องของ Defrag นั้นจะเป็นการจัดเรียงข้อมูลให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเพื่อจะทำให้ความเร็วใน การ
อ่านข้อมูลสามารถทำได้เร็วขึ้น เพราะข้อมูลจะมาอยู่ต่อเนื่องกัน ในการ Defrag ก็ต้องมีการเลือกรูปแบบของการ
Defrag ว่าจะทำทั้งหมดหรือทำบางส่วนถ้าใช้มานานแล้วไม่เคย Defrag เลยก็ควรจะ Defrag ทั้งหมด
บทความจากเว็บไซต์ bcoms.net

วิธีตรวจสอบเมื่ออุปกรณ์ภายนอกไม่ทำงาน

1 ตรวจสอบเองก่อนได้หรือเปล่า
ถ้าคุณเคยเจอกับปัญหาแล้วโทรไปถาม เทคนิคัลซัพพอร์ต พวกเขาชอบบอกให้คุณตรวจสอบเบื้องต้นโน่นนี่อยู่นั่นแหละ แต่เขาก็มีเหตุผลที่ดีนะ ผู้คนส่วนมากถึงมากที่สุดมักจะทำผิดโง่ๆ ซ้ำซากเหมือนกันไปหมด สายไฟก็ไม่ตรวจ สายเคเบิลก็ไม่ดู คู่มือก็ไม่ยอมอ่านอีก ฉะนั้นเนี่ย มันไม่ยากหรอก ถ้าคุณจะลองเอาโปรแกรมต่างๆ มาลงใหม่ตั้งแต่ต้นแล้วก็ลองตรวจหาข้อผิดพลาดในแต่ละส่วนด้วยตัวของคุณเอง ก่อน
2 สับขาหลอก
ลองเสียบอุปกรณ์ที่รองรับ USB เข้าไปในช่อง USB ต่างๆ ที่มีอยู่ อันนี้มันจะทำให้ Windows ติดตั้งไดรเวอร์สำหรับอุปกรณ์นั้นๆ ให้ใหม่
3 ระบบ USB
ถูกสร้างขึ้นมาให้เป็นชุดของช่อง ต่อที่ทำหน้าที่พูดคุยกับตัวควบคุมโฮสหลักใน PC ของคุณ คุณไปหาดูได้ว่ามันมีอะไรบ้าง ที่เซ็กชั่น USB ที่อยู่ใน Device Manager ให้ดับเบิลคลิกที่ฮับ ซึ่งตัวควบคุมโฮสหลักที่ควบคุมแบนด์วิดธ์และฮับจะรายงานระดับการใช้งานของ พลังไฟออกมาให้
ช่องต่อของระบบ USB ของคุณ ไปหามันที่ Device Manager
4หยุด! ได้เวลาราวีแล้ว!
ปัญหาของไดรเวอร์มักจะลงเอยด้วยการ กลายเป็นปัญหาระดับชาติเสมอ เช่น หน้าจอสีน้ำเงิน, อยู่ๆ ก็รีเซตตัวเอง หรือระบบถูกล็อกซะอย่างนั้น ถ้าปัญหาเหล่านี้มันเกิดขึ้นกับคุณ ให้จดไว้ด้วยว่าคุณทำอะไรอยู่ตอนที่ระบบพัง อันนี้จะช่วยบีบต้นตอของปัญหาที่อาจจะเป็นเหตุให้ระบบพังแคบลงได้
5 ขบวนการมนุษย์ไฟฟ้า
อุปกรณ์ที่รองรับ USB สามารถดึงไฟจากบัสมาใช้ได้ แต่ส่วนมากมันอยากได้ไฟจากเพาเวอร์ซัพพลายภายนอกมากกว่า Windows XP จะมีรายงานความผิดพลาดออกมาให้ในกรณีที่ระบบไฟมีไม่พอ แต่คุณก็สามารถตรวจสอบช่องเสียบ Root Hub ได้เองด้วย
6 ชิดในด้วยพี่
กับไดรเวอร์ USB บางตัว ตัวที่มันเก่าๆ น่ะ เรามีเรื่องสุดฮาของมันจะเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องเกี่ยวกับลำดับของการติดตั้งฮาร์ดแวร์ มันทำเหมือนอยากจะให้คุณเสียบอุปกรณ์ USB ตัวใหม่เข้าไปเลยแล้วค่อยลงไดรเวอร์ แต่มันจะเป็นเรื่องที่รอบคอบมากทีเดียวที่คุณจะอ่านคู่มือแล้วก็เริ่มติด ตั้งไดรเวอร์ลงไปก่อนเสมอ จากนั้นค่อยเสียบอุปกรณ์ USB ของคุณเข้าไป
7 สปีดขึ้นอีก
ถ้าคุณอยากจะใช้อุปกรณ์ที่รองรับ USB 2.0 ซึ่งมันเอาเร็วมากๆ คุณจะต้องมีช่องต่อแล้วก็สายเคเบิลที่รองรับ USB 2.0 ด้วย ไม่อย่างนั้นมันก็จะใช้ความเร็วได้ไม่เต็มที่หรือถูกจำกัดอยู่ที่ความเร็ว ที่เป็นของ USB 1.1 เท่านั้น
8 งานฝีมือ
มันเป็นเรื่องของงานฝีมือ
เรื่องนี้มันเคยถูกพูดถึงมาแล้ว และมันก็จะถูกพูดถึงอีกครั้ง แต่เรื่องที่ถือเป็นก้าวสำคัญที่ Microsoft ได้ทำขึ้นมาก็คือ มันสนับสนุนให้ทุกๆ คนใช้ไดรเวอร์ที่ผ่านการรับรองจาก WHQL (อ่านว่า วิกเกิล) ซึ่งไดรเวอร์เหล่านี้เป็นไดรเวอร์ที่ถูกส่งไปที่ Windows Hardware Quality Labs ของ Microsoft และมันก็จะถูกทำให้ได้รับการยอมรับว่ามันมีความสเถียรพอ ไดรเวอร์อะไรก็ตามที่ติดตั้งด้วย Windows XP หรือมาจากอัพเดตไซต์นั้นจะผ่าน WHQL แล้ว ถ้าคุณมีปัญหากับอุปกรณ์เชื่อมต่อภายนอก เราอยากแนะนำว่าให้คุณลองติดตั้งไดรเวอร์ที่ได้รับการรับรองแล้วจาก WHQL ผ่านทางเว็บ Windows Update หรือจากเว็บไซต์ของผู้ผลิตเองก็ได้

9 แย่งกันเข้าไป
ถ้าคุณกำลังรับมืออยู่กับปัญหาการ แย่งทรัพยากรของอุปกรณ์ มันยังมีเทคนิคอื่นๆ อีกสองสามอย่างที่น่าจะลองดู อันที่ใช้ได้บ่อยที่สุดก็คือ การที่คุณปิดพอร์ตซึ่งอยู่ใน BIOS ของคอมพิวเตอร์ของคุณ ทั้งซีเรียลพอร์ตและพาราเรลพอร์ต ซึ่งมันจะปลดทรัพยากรทั้งหลายออกมาให้คุณใช้งานได้
10 มอมแมม
เลนส์ของหัวอ่านเลเซอร์ที่สกปรก สามารถทำให้เกิดปัญหาในการอ่านข้อมูล ขณะที่ชุดทำความสะอาดมาช่วยเราแก้ปัญหาตรงจุดนี้ได้ แต่ว่าปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากแผ่นที่เป็นรอย ลองซื้อ Manual CD Cleaner & Repairer ที่ www.maplin.co.uk มาใช้ดู
11 เสียงกระซิบจากความเงียบ
การดึงเสียงออกมาจากไดรฟ์ CD หรือ DVD ของคุณนั้น ทำได้สองวิธีคือ วิธีทั่วๆ ไปที่ใช้สายเคเบิลดึงข้อมูลแบบอะนาล็อกออกมาจากไดรฟ์แล้วส่งไปให้ซาวนด์ การ์ดของคุณทางช่องต่อ CD-IN ถ้าไม่มีเสียงอะไรออกมาแสดงว่ามันหาสายเคเบิลไม่เจอ อย่างไรก็ตาม ใน Device Manager คุณสามารถเลือกออพชั่นที่จะให้มันดึงข้อมูลออกมาในรูปแบบดิจิตอลได้ ซึ่งจะเป็นการดึงข้อมูลเสียงออกมาง่ายๆ ด้วยระบบดิจิตอล วิธีนี้จะช่วยมองหาสายเคเบิลให้คุณได้ในเบื้องต้น
12 นักเล่นแป้นพิมพ์
ถ้าเมาส์ของคุณไม่ทำงาน อย่าเพิ่งหมดหวัง ให้ใช้ปุ่ม [Tab], [Shift], [Alt] กับปุ่มลูกศรต่างๆ ในการเลื่อนไปมาบนหน้าจอ สำหรับการเปิดเมนูต่างๆ ให้กด [Alt] พร้อมกับตัวอักษรที่เป็นตัวเดียวกับที่ถูกขีดเส้นใต้ในเมนูบาร์ ใช้ปุ่มลูกศรในการเลื่อนไปมาบนเมนู ถ้าอยู่ในไดอะล็อกบ็อกซ์ ให้ใช้ [Tab] ในการเลื่อนไปมาของปุ่มต่างๆ โดยจะมีไฮไลต์เป็นตัวบอกตำแหน่ง แล้วกด [Enter] เมื่อถึงปุ่มที่ต้องการ
13 PS/2 งอน
มันก็ไม่ใช่ว่าจะเสียบแล้วเล่นได้ เลยไปซะทุกอย่าง คุณจะเสียบคีย์บอร์ดเข้าไปในขณะที่ Windows XP หรือ 2000 กำลังทำงานอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณไม่ได้ คุณจะต้องบูตเครื่องของคุณหลังจากที่คียบอร์ดมันถูกเสียบอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นมันจะใช้งานไม่ได้
14 อ่านให้ออก
ไม่บ่อยนักที่จะพบว่า CD ของเรานั้นมีหลากหลายรูปแบบ เพราะโดยปกติแล้วมันก็มีไม่กี่จำพวกหรอก อย่างไรก็ตามไดรฟ์ต่างๆ ก็สามารถจัดการกับทุกปัญหาทุกรูปแบบของการอ่านพวกมันได้ ในไดรฟ์ DVD รุ่นเก่าๆ ค่อนข้างที่จะรังเกียจฟอร์แมตใหม่ๆ อย่างเช่น DVD+R และ ดิสก์ RW เฟิร์มแวร์อัพเดตช่วยเราได้ในจุดนี้ โดยที่คุณจะต้องเขียนแผนที่ความเร็วต่ำๆ ซึ่งเราอยากแนะนำว่าอย่าไปซื้อของถูก ไม่มียี่ห้อ และไม่มีความเสถียรพอ
 DVD ไดรฟ์มันก็เหมือนกับคนเรานั้นแหละ ยิ่งแก่ก็ยิ่งดื้อ
15 พิมพ์มันออกมา
เครื่องพิมพ์อาจจะเป็นฮาร์ดแวร์ที่ โง่เง่าที่สุดบนโลกนี้ แถมยังวุ่นวายแล้วก็เรื่องมากอีกต่างหาก ความเชื่องช้า เสียงดังน่ารำคาญ แล้วก็ค่าใช้จ่ายในการใช้งานที่สูง เราไม่ต้องไปวุ่นวายกับเรื่องพวกนี้หรอก เราควรไปสนใจกับอะไรที่มันอาจจะทำงานผิดพลาดได้อย่างตัวเครื่องพิมพ์เอง ข้อมูลที่ใช้เชื่อมต่อ ไดรเวอร์ หรือ ระบบการพิมพ์ของ Windows ที่อยู่ใน Control Panel จะดีกว่า
16 จะลอยคอรอคอยไปทำไม
บางที Windows ก็ถือวิสาสะมาหยุดงานพิมพ์ของเราเอาดื้อๆ ตรวจสอบสถานะของมันจากไอคอนตัว print spooler ที่อยู่ใน System Tray เพื่อดูว่ามันทำงานไปถึงไหนแล้ว
17 ท่าเรือเล็กๆ ในพายุใหญ่
เครื่องพิมพ์ที่มี USB ติดมาด้วยสามารถสร้างพอร์ตเสมือนต่างๆ ของเครื่องพิมพ์ได้ ซึ่งพวกมันจะถูกกำหนดไว้ใน Printers Control Panel ที่อยู่ในแท็บ Ports ดูให้แน่ใจว่ามันกำหนดเอาไว้ถูกพอร์ต ไม่ว่าจะเป็นพอร์ตเสมือน พาราเรล หรือ USB ก็ตาม
18 เอาอย่างที่มันเป็นนั้นแหละ
ถ้าไม่มีกระดาษอะไรไหลออกมาที่ถาด ลองกระดาษ ให้ตรวจดูว่าเครื่องพิมพ์ที่ใช้อยู่นั้นมันถูกกำหนดให้เป็นค่าดีฟอลต์หรือ ไม่ ตรวจดูการกำหนดค่าได้ใน Printers Control Panel
19 หนูนรก
ถ้าพอร์ต PS/2 ของคุณอยู่ๆ ก็ลาโลกไปซะอย่างนั้น เมาส์ของคุณก็จะไร้ค่าไปในบัดดล ให้ใช้คีย์บอร์ดในการเข้าไปที่ Accessibility Control Panel แล้วก็เปิดโหมด MouseKeys ซะ ซึ่งมันจะทำให้คุณสามารถใช้ตัวเลขในคีย์แพดในการควบคุมเมาส์ของคุณแทนได้
ดูแลเจ้าเครื่องตัวน้อยๆ ไว้ เพราะขไม่ได้อยู่กับคุณตลอดไปหรอ
20 โลกคู่ขนาน
ปัญหาหลักอันหนึ่งที่คุณจะต้องรับมือ ในการใช้งานพาราเรลพอร์ตก็คือ การที่มันถูกปิดตัวใน BIOS หรือถูกกำหนดให้ทำงานช้าลง โดยปกติมักจะพบปัญหานี้ในการใช้งานอุปกรณ์ภายนอกต่างๆร่วมกัน ทางที่ดีที่สุดคุณควรกำหนดให้มันอยู่ในโหมด EPP โหมด ECP ก็มีความเร็วเท่ากันแต่ว่ามันจะต้องใช้ DMA channel เพิ่ม คุณยังสามารถตรวจสอบสถานะการทำงานของมันได้ใน Device Manager

ทิปจาก : http://technology.msnth2.com/article.asp?id=1824&art=product

5 วิธี หาความสุขบนเน็ต

5 วิธี หาความสุขบนเน็ต

Tip Computer     ทุกวันนี้เราอยู่ในยุคอินเทอร์เน็ต พวกเราได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลินจากมัน เช่น ได้เล่นเกมออนไลน์ , ได้ chat กับคนแปลกหน้า , ได้ดูรูปโป๊แบบไม่จำกัด ,ได้หาแฟนใหม่ทางเน็ตวันละ 10 คน ฯลฯ
แต่มีผู้ใหญ่หลาย ๆ ท่านเตือนว่า การหมกมุ่นอยู่กับเน็ต ระวังอันตรายร้อยแปด ทั้งเสียการเรียน ทั้งเสียคน บางทีอาจจะถึงกับได้พบอันตรายที่คาดไม่ถึงอีกมากมาย ที่จริง ก็น่าเห็นใจน้อง ๆ นะ ... เพราะเรียนหนังสือเครียดจะตายไป เลิกเรียนแล้ว ก็น่าจะได้มีโอกาสผ่อนคลายความเครียดกันบ้าง คนจะหาความสุขจากเน็ตสักหน่อย ยังมาห้ามอีก อะไรทำนองนั้น
ทีนี้ตามหลักพุทธศาสนาท่านว่า ความสุขมีสองแบบ คือ แบบ เสพบริโภค (กามฉันทะ ) กับ แบบสร้างสรรค์ (ธรรมฉันทะ ) ความสุขแบบเสพบริโภคนั้น เป็นความสุขมีคุณน้อย มีโทษมาก ทำให้หลงเพลิดเพลินไม่เป็นอันทำการงาน มีแนวโน้มทำให้เกิดความรุนแรง เบียดเบียนกัน ร้อนรน กระวน กระวาย ไม่คุ้มค่ากับความสุขเพียงนิด ที่ต้องแลกกับความทุกข์ที่ตามมาเป็นพรวน ๆ
อย่ากระนั้นเลย budpage ขอลองเสนอวิธีหาความสุขอย่างสร้างสรรค์ (ธรรมฉันทะ) จากเน็ตสัก 5 วิธี มาแนะนำกัน แบบว่าให้ได้ทั้งสนุก และ ได้รับสาระไปด้วย ดังต่อไปนี้

1."ชื่นชมความงามธรรมชาติบนเน็ต"
เปิดเวบค้นหาภาพธรรมชาติ จำพวก ต้นไม้ ภูเขา วิวสวย ๆ ดวงจันทร์ หรือ ดอกไม้ ฯลฯ พอได้พบภาพที่ถูกใจ ให้คุณมองภาพนั้นด้วยความชื่นชมพร้อมทั้งกล่าวพรรณาความงามออกมา อาจจะเป็นคำพูดดี ๆ หรือ แต่งเป็นกลอน หรือแต่งเป็นเพลง ก็ได้ หากคุณลองทำดูแล้วคุณรู้สึกว่าจิตใจของคุณมีความแช่มชื่นเบิกบาน จนอยากออกไปพบเห็นธรรมชาติจริง ๆ ข้างนอก ละก้อ...แสดงว่าคุณได้ เข้าถึงความงามของธรรมชาติบ้างแล้ว

2. "พรรณาความงามของงานศิลปะ"
อันนี้ก็คล้าย ๆ กัน ให้ search ค้นหาภาพงานศิลปะต่างๆ ที่มีอยู่มากมายในอินเทอร์เน็ต คัดเลือกภาพที่ถูกใจสักภาพ แล้วให้คุณ พรรณาความงามของงานศิลปะชิ้นนั้น โดยสมมุติตัวเองว่าเป็นศิลปินกำลังบรรยาย ให้ผู้ชมฟัง พรรณาเข้าไปเถอะ หรือจะใช้วิธีพิมพ์บรรยายลงในคอมพ์ก็ได้ ทำอย่างนี้สักประเดี๋ยวจิตใจของคุณก็จะเกิดความปีติสุข เพราะได้เข้าถึงความงามของศิลปะ

3.มีความสุขกับการเป็น"พหูสูต "
"พหูสูต" แปลง่าย ๆ ว่า"ผู้รอบรู้" คือ ไม่ว่าจะพบเห็นอะไร ก็จะมองเห็นเป็นความรู้ไปหมด สามารถ อธิบายทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง
นิสัย"พหูสูต" นี่สามารถสร้างขึ้นมาได้ หากฝึกฝนเป็นประจำ ยิ่งสมัยนี้มีอินเทอร์เน็ตยิ่งง่ายใหญ่ วิธีง่าย ๆ เริ่มต้นด้วย ทุก ๆ วัน ก่อนจะเปิดเน็ตให้ลองเหลียวมองสิ่งต่างๆ รอบตัวคุณ แล้วตั้งคำถามกับตัวเอง "วันนี้เราอยากจะรู้เรื่องเกี่ยวกับอะไร" เมื่อเราได้พบสิ่งที่น่าสนใจแล้ว ก็ให้ค้นในอินเทอร์เน็ตว่าเราได้รับความรู้อะไรจากสิ่งนั้นบ้าง
ยกตัวอย่าง
เหลียวไปเหลียวมารอบ ๆ ตัว ก็พบว่าวันนี้ เราอยากจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับ "ปากกาลูกลื่น"ที่วางอยู่บนโต๊ะ เราก็พิมพ์ คำว่า"ปากกาลูกลื่น" หรือ ball-point pen ลงในเวบไซต์ประเภท search engine ( เช่น google.com ,siamguru.com ฯลฯ) จากนั้นก็ให้คัดเลือกหาอ่านเรื่องราวที่มีความรู้เกี่ยวกับ"ปากกาลูกลื่น" เก็บเกี่ยวสาระให้ได้มากที่สุด จนเราสามารถคุยเรื่องปากกาลูกลื่นได้เป็นชั่วโมง ๆ (แววพหูสูตเริ่มปรากฏ) วันต่อ ๆ มาก็ให้มองหาสิ่งอื่น รอบๆ ตัวเพื่อค้นหาความรู้อีก ลองตั้งเป้าไว้เลยว่า จะต้องมีความรู้เกี่ยวกับสิ่งของที่มีอยู่ในบ้านให้หมดทุกอย่าง หากใครทำได้ ถือว่าได้เป็นผู้รอบรู้คนหนึ่งในบ้านเลยทีเดียว

4 สารานุกรมภาพ
มาสะสม"ภาพความรู้"กันดีกว่า (รับรอง สนุกว่าสะสมรูปโป๊ ) กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่ท้าทายมาก เพราะมีคนฉลาดๆเท่านั้นเองที่สามารถทำได้ วิธีการง่าย ๆ ก็คือให้ท่องเว็บไปเรื่อย ๆ ทีนี้เกิดไปเจอภาพอะไรที่เขามีคำอธิบายเกี่ยวกับภาพนั้น ๆ เราก็ลองอ่านดู ถ้าเรื่องราวน่าสนใจ อ่านแล้วเราเข้าใจ ประทับใจ ก็ให้ save ภาพนั้นเก็บไว้ในอัลบั้มภาพในเครื่องคอมพ์ของตนเอง ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนเรามีคลังภาพแห่งความรู้เก็บไว้มากมาย ( ทุกภาพก่อน save เราจะต้องอ่านเนื้อหาคำอธิบายจนเข้าใจภาพนั้นได้ดีก่อน ไม่ใช่ เก็บแต่ภาพแต่ไม่ยอมเก็บความรู้)
ยกตัวอย่าง
เปิดเวบไปเห็นภาพ"เหตุการณ์ 14 ตุลา" เราก็อ่านเรื่องราวบรรยายภาพนั้นจนเข้าใจ ว่าได้เกิดอะไรขึ้นในปี พ.ศ. 2516 จากนั้นให้save ภาพนั้นเก็บเอาไว้ หรือ ไปพบภาพ "super nova" (ดาวระเบิด) เราก็อ่านจนเข้าใจเนื้อหาสาระของภาพ แล้วก็เก็บภาพไว้

ทีนี้เวลาได้ภาพเก็บไว้ในอัลบั้มมากพอเพียงแล้ว เวลาว่าง ๆ ให้คุณลองจัดแสดงภาพแบบสไลด์โชว์ บรรยายให้เพื่อนฝูงฟัง รับรองว่าคุณจะกลายเป็นผู้ที่มีความรอบรู้ สามารถให้ความรู้และความสนุกสนานกับเพื่อน ๆ จนบรรดาเพื่อน ๆ จะต้องทึ่งในตัวคุณเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

5 "เก็บคำคม"
ในเว็บบอร์ดบนอินเทอร์เน็ตมีคำคม ๆ สำนวนดี ๆ มากมาย อ่าน ๆ แล้ว ให้เลือกสรรคำที่โดนใจ เอามาสะสมไว้ในไดอารี่ของเรา จะได้เก็บไว้อ่านประเทืองปัญญา จริงอยู่ในเว็บบอร์ดส่วนใหญ่อาจจะมีคำพูดที่ไม่เหมาะสมมากมาย เช่น คำหยาบ คำส่อเสียด ด่าว่า กระทบกระเทียบ แต่ในคำพูดเหล่านี้บางครั้งก็มีสาระสอดแทรกอยู่ เราสามารถเลือกสรรสิ่งที่ดีๆ คือ เลือกเฟ้นสิ่งที่ เป็นเนื้อหาสาระออกมา ( คุ้ยหาเพชรจากกองขยะ ) คุณทราบหรือไม่ว่าคำพูดของคนบางคน (แม้แต่คำพูดของคนที่สติไม่ดี ) บางครั้งจะให้แง่คิดดี ๆ ที่ช่วยปรับปรุงชีวิตของเราให้พัฒนาขึ้นมาได้ ลองดูสิ แล้วคุณจะรู้ว่าการสะสมข้อความดี ๆ มีสาระ มีความสนุกสนาน และมีคุณค่า ไม่น้อยกว่าการสะสมพระเครื่อง หรือ ตุ๊กตาโมเดลราคาแพง ๆ เสียอีก

ทิปจาก http://www.budpage.com/

วิธีกำจัดไวรัส Autorun

วิธีกำจัดไวรัส Autorun สำหรับผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ทุกท่าน

ถ้าคุณเป็นผู้หนึ่งที่ใช้งานคอมพิวเตอร์และใช้ Flash Drive หรือ USB hard disk ในการโอนถ่ายข้อมูลระหว่างเครื่อง คุณทราบหรือไม่ว่าคุณกำลังเสี่ยงกับการติดไวรัสอย่างมาก โดยเฉพาะไวรัส AutoRun ซึ่งเป็นไวรัสที่ผมได้พบบ่อยมากๆ

Virus Autorun บน Flash Drive

อาการที่สังเกตุง่ายๆ เมื่อติดไวรัส AutoRun แล้ว นั่นคือ เราจะไม่สามารถเปิดไฟล์งานได้โดยตรง จะขึ้นคำว่า “Open with” และถ้าเราเข้าไปดูรายชื่อไฟล์ใน Flash Drive จะพบไฟล์ที่ชื่อว่า “Autorun.ini” ถ้าเครื่องคอมฯ ของคุณติดไวรัสนี้แล้ว แค่เพียงนำ Flash Drive ของคนอื่น มาเสียบก็จะทำให้ติดไวรัส AutoRun ได้ทันที

วิธีกำจัดไวรัส AutoRun


เพียงแค่ download และติดตั้งโปรแกรม CPE17?Autorun Killer ซึ่เป็นฟรีโปรแกรมที่สามารถหา download มาติดตั้งใน “Startup”?และสั่งให้รันทุกครั้งที่เปิด Windows โปรแกรมจะตรวจสอบการเสียบ Flash Drive อัตโนมัติ และจะทำกาำรลบไฟล์ Autorun รวมทั้งไฟล์ที่มีนามสกุล .EXE ใน root ของ Flash Drive
:: Download โปรแกรม CPE17 Autorun Killer?ขนาดไฟล์ประมาณ 52 KB
ทิปเพิ่มเติม
  • ห้ามทำการ copy โปรแกรมเก็บไว้ใน root directory ของ Flash Drive เพราะจะถูกลบอัตโนมัติ
  • ก่อนการใช้งาน Flash Drive ทุกครั้ง ควรทำการรัน scan virus ก่อนทุกครั้ง

วิธีแก้ปัญหาจอดำของ Windows 7

ผู้ใช้ Windows 7 จำนวนหนึ่งเริ่มไม่พอใจที่จู่ๆ คอมพิวเตอร์ของพวกเขาก็ปิดตาย (lock up) ตัวเองด้วยการแสดงหน้าจอดำสนิท ซึ่งอาการดังกล่าวเรียกว่า Black Screen of Death คนละอาการกับ Blue Screen of Death (BSOD) ที่เราคุ้นเคย โดยอาการดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ได้มีการอัพเดตแพตช์เมื่อวันอังคารที่ 10 พฤศจิกายนทีผ่านมา
ล่าสุดทางไมโครซอฟท์ได้รับแจ้งปัญหา”จอดำมรณะ”ทีเกิดขึ้นกับผู้ใช้เรียบ ร้อยแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ยืนยัน หรือปฏิเสธปัญหาที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด?เพียงแต่บอกว่า ขณะนี้ทางบริษัทกำลังตรวจสอบว่า อัพเดตล่าสุดเป็นตัวการที่ทำให้เกิดปัญหากับลูกค้าบางราย หรือไม่? ซึ่งหากได้ข้อสรุปที่ชัดเจนแล้ว ทางบริษัทจะแจกแจงรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีป้องกัน หรือชี้ชัดต้นตอของปัญหาให้ได้ทราบกันอีกที

สำหรับแพตช์ล่าสุดจะมีการเปลี่ยนแปลงการทำงานของ Access Control List (ACL) ซึ่งเป็นรายการในการให้สิทธิ์กับผู้ใช้ที่ล็อกออนเข้าสู่ระบบปฏิบัติการ (ในรีจิสทรี) ผลลัพธ์จากการแก้ไขการทำงานดังกล่าว ทำให้แอพพลิเคชันบางตัวที่ติดตั้งเข้าไปในเครื่องของผู้ใช้ก่อนหน้านี้ (โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ระบบรักษาความปลอดภัยต่างๆ) ซึ่งพวกมันจะไม่มีทางทราบถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเหล่านี้?ส่งผลให้ เกิดข้อผิดพลาดของการทำงาน และอาจะเป็นสาเหตุให้เกิดอาการ?”จอดำมรณะ” ได้ในที่สุด?ไมโครซอฟท์ตั้งใจที่จะปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัยของวินโดวส์ แต่ผลลัพธ์กลับทำให้ระบบรักษาความปลอดภัยของผู้ใช้มีปัญหา จนพาให้ระบบล่มการทำงานในที่สุด

Prevx บริษัทผู้เชี่ยวชาญทางด้านระบบรักษาความปลอดภัยตังข้อสังเกตไว้ในบล็อกว่า “หลังจากอัพเดตแพตช์ และรีสตาร์ท Windows 7, Vista, XP, NT, W2K, W2K3 หรือ W2K8 บนพีซี หรือเซิร์ฟเว่อร์ ระบบจะสามารถทำงานได้ปกติดี จนกระทั่งล็อกออนเข้าไป ปรากฎว่า มันไม่แสดงเดสก์ทอป ทาสก์บาร์ ซิสเต็มเทรย หรือไซด์บาร์ให้เห็นแต่อย่างใด คงมีเพียงแค่หน้าจอดำสนิท กับหน้าต่าง Windows Explorer ค้างอยู่เท่านั้น ซึ่งบางทีมันก็ถูกมินิไมซ์จนทำให้อาจมองไม่เห็นได้” ในขณะที่ไมโครซอฟท์ยังไม่สรุปปัญหาที่พบ ทาง Prevx ได้ออกซอฟต์แวร์แก้ไขปัญหา (48.3KB) ที่เข้าไปแก้ไขรีจิสทรีให้เหมาะสม (สามารถเข้าไปแก้ไขโดยตรง โดยไม่ต้องใช้ซอฟต์แวร์ก็ได้) และสอดคล้องกับข้อกำหนดของ ACL เรียบร้อยแล้ว
ข้อมูลจาก: Techspot

วิธีแก้ไขอาการ Error Updater ครับ windows 7

วิธีแก้ไขอาการ Error Updater ครับ windows 7

วิธีแรก ให้ Set ค่าตามนี้นะครับ

ไปที่ My Computer > Control Panel > User Account ครับ
จากนั้นให้ไปที่ Change User Account Control settings
ให้ทำการเลื่อน แท๊บลงมา ข้างล่างสุดค่ะ > กด OK ตามรูปครับ

Posted Image
แล้วเลือกที่ user account control Settings
Posted Image
และปรับค่าให้อยู่ต่ำสุดครับ หลังจากนั้นกดตกลง
แล้วลองเข้าเกมอีกครั้งหนึ่งครับ[/color]

หากทำวิธีข้างบนเเล้วยังไม่สามารถเข้าได้

ให้เราเข้าไปที่ ที่เราลงตัวเกมส์ Giga Slave ไว้ครับ
จากนั้นคลิ๊กขวาที่ไฟล์ _Mas.exe เเล้วเลือกไปที่ Properties
เเล้วติ๊กถูกที่ช่อง Run this program in compatibility mode for
เเล้วเลือกไปที่ Windows XP ครับ พร้อมกับกด OK

6 สัญญาณอันตราย ฮาร์ดดิสก์ใกล้ตาย

6 สัญญาณอันตราย ฮาร์ดดิสก์ใกล้ตาย
    เรื่อง 6 สัญญาณอันตราย ฮาร์ดดิสก์ใกล้ตาย ว่ากันว่าผู้ใช้บางท่านรู้สึกแย่มากๆ ที่อยู่ดีๆ ฮาร์ดดิสก์สุดที่รักก็จากไปอย่างไม่หวนคืน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นมันมีสัญญาณเตือนให้ทราบอยู่ตลอดเวลา แต่ก็หาได้สังเกตไม่ ในขณะเดียวกัน ผู้ใช้ส่วนใหญ่ก็จะไม่มีนิสัยรักการแบ็คอัพ ประเภทรักเดียวใจเดียวไม่สำรองข้อมูลไว้ที่อื่นกันบ้างเลย ประเด็นที่อยากจะเตือนผู้ใช้ก็คือ อย่ามั่นใจเทคโนโลยีมากเกินไป ควรสังเกตสังกามันบ้าง ต่อไปนี้คือ ลางบอกเหตุสำหรับฮาร์ดดิสก์ที่ใกล้ตาย ซึ่งมีอยู่ 6 ข้อด้วยกัน อ่านทิปนี้จบแล้วลองพิจารณาดูด้วยนะครับว่า ฮาร์ดดิสก์ที่ใช้อยู่มีอาการตามนี้บ้าง หรือไม่
1. LED แสดงสถานะการทำงานของฮาร์ดดิสก์ไม่ยอมดับ แม้มันจะฟังดูเกินเหตุ เนื่องจากบางทีมันอาจจะมาจาก LED มีปัญหาก็ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้ว การที่ LED แสดงสถานะการทำงานของฮาร์ดดิสก์สว่างอยู่ตลอดเวลา ค่อนข้างจะชัดเจนว่า มันมีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติ โดยเฉพาะการทำงานของฮาร์ดดิสก์ และยิ่งปล่อยเนิ่นนานไป ปัญหาจะลุกลามไปจนแก้ไม่ได้ในที่สุด
2. ฮาร์ดดิสก์ใช้เวลานานกว่าจะพร้อมทำงาน ฮาร์ดดิสก์ของคุณใช้เวลาในการบู๊ตนานเกินไป หรือเปล่า? จริงอยู่ที่มันอาจจากการที่ต้องโหลดโปรแกรมเริ่มต้นการทำงานหลายตัว แต่ถึงนั้นก็เถอะ ถ้ามันใช้เวลาเกินกว่าสองนาทีก็ถือว่า มีพิรุธแล้ว เพราะนั่นอาจเกิดจากการอ่าน หรือเขียนข้อความที่ผิดพลาดบนฮาร์ดดิสก์อยู่ก็ได้
3. ฮาร์ดดิสก์ไม่สามารถหา File Table ได้ ถ้าฮาร์ดดิสก์ไม่สามารถหา Windows Master File Table (MFT) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังเกิดการล่มของการทำงานอย่างไม่คาดฝัน กรณีนี้แทบจะเรียกได้ว่า ฮาร์ดดิสก์ของคุณเข้าขั้นโคม่าเต็มทีแล้ว
4. CHKDSK แสดงเซคเตอร์เสีย (bad sector) Bad sector คือความจริงของชีวิต การที่ยูทิลิตี้แสดงว่า ฮาร์ดดิสก์ของคุณมี bad sector นั่นหมายความว่า ความเสื่อมสภาพกำลังคืบคลานเข้ามาสู่ฮาร์ดดิสก์ของคุณทีละก้าวๆ แม้มันจะช้ามาก แต่เป็นสัญญาณเตือนที่คอยบอกคุณว่า ความหายนะกำลังใกล้เข้ามาเยือนฮาร์ดดิสก์ของคุณแล้ว
5. ฮาร์ดดิสก์ร้อนขึ้นเรื่อยๆ  ปกติฮาร์ดดิสก์เวลาทำงานจะอุ่นๆ อยู่แล้ว แต่ถ้ามันร้อนมากจนรู้สึกได้ บางครั้งมีกลิ่นออกมาเลย ถ้ามีอาการเช่นนี้ก็เตรียมทำพิธีได้เลย ฮาร์ดดิสก์ของคุณใกล้ตายเต็มทีแล้ว
6. ประวัติของฮาร์ดดิสก์ ฮาร์ดดิสก์ที่เคยตกบนพื้นแข็ง (ขณะที่มันยังคงทำอยู่ หรือไม่ก็ตาม) หรือได้รับความร้อนมากเกินไป โดยเฉพาะเมื่อฮาร์ดดิสก์ได้รับการติดตั้งไว้ใกล้กับพัดลมระบายความร้อนซีพี ยู หรือพัดลมเสีย ซึ่งทั้งสองกรณีทำให้ความร้อนภายในสูงขึ้น ความร้อนนี้จะส่งผลให้ฮาร์ดดิสก์เริ่มมีอาการเอ๋อ อย่างเช่น มีปัญหาในการอ่าน หรือเขียนไฟล์ ปล่อยให้เป็นเช่นนี้เรื่อยๆ อายุของฮาร์ดดิสก์จะสั้นลงอย่างไม่ต้องสงสัย และหากฮาร์ดดิสก์มีประวัติทำนองนี้อยู่ล่ะก็ อายุของมันไม่ยืดแน่นอนครับ
 ปิดท้ายกับช่องทางสื่อสารใหม่ของรายการวิทยุ ผ่านการแชต comtodayradio@hotmail.com โดยจะออนไลน์ให้คุณได้ สอบถามปัญหาด้านไอที พูดคุยเรื่องราวทั่วไป รวมถึงการแสดงความคิดเห็นได้ครับ ส่วนใครอยากอ่านแบบเต็มๆ ก็ติดตามได้ในนิตยสารคอมพิวเตอร์.ทูเดย์ฉบับปักษ์แรกมิถุนายนครับ พรชัย จันทรศุภแสง บรรณาธิการคอมพิวเตอร์.ทูเดย์


ทิปจาก : www.arip.co.th

ลบไฟล์ขยะ หลังจากเลิกเล่นเน็ต ช่วยลดปัญหาไวรัสได้

ลบไฟล์ขยะ หลังจากเลิกเล่นเน็ต ช่วยลดปัญหาไวรัสได้
    เวลาเราเข้าเว็บ ไซต์ต่างๆ โปรแกรม IE ก็จะทำการ download ข้อมูลมาเก็บไว้ในเครื่องของเราก่อน จากนั้นถ้าเราเลิกเล่น ไฟล์เหล่านี้ก็จะค้างในเครื่องของเรา นอกจากปัญหาไฟล์ในเครื่องที่อาจจะเพิ่มมากขึ้น ทำให้เนื้อที่ใน harddisk ของเราไม่เพียงพอแล้ว อาจมีไวรัสแอบแฝงเข้ามาในเครื่องคอมฯ ของเราได้ด้วย ดังนั้นวิธีการจัดการอย่างหนึ่งที่ง่ายก็คือ กำหนดให้โปรแกรม IE ลบไฟล์ขยะเหล่านี้อัตโนม้ติทุกครั้งที่ปิดโปรแกรม สำหรับขั้นตอนก็สั้นๆ ครับ เพียงทำตามรายละเอียดข้างล่างนี้
    วิธีกำหนดให้ลบไฟล์ขยะจากอินเตอร์เน็ตแบบอัตโนมัติ

  1. คลิกเมนู Tools
  2. เลือกคำสั่ง Internet Options
  3. คลิกเลือกแท็ป Advanced
  4. เลื่อนลงมาที่หัวข้อ Security
  5. จากนั้น คลิกหัวข้อ Empty Temporaly Internet Files Folder when browser is closed



  6. กดปุ่ม Apply อีกครั้งเพื่อยืนยัน
  7. แล้วนี้ก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว
ข้อมูลเพิ่มเติม::
ส่วนดีของการที่โปรแกรม IE มีการ download ไฟล์มาเก็บไว้ในเครื่องของเรา ทำให้การใช้งานในครั้งต่อไป สามารถเปิดดูรายละเอียดในเว็บนั้นๆได้เร็วขึ้น เนื่องจากไม่ต้องเสียเวลาในการ download ซ้ำอีก อย่างไรก็ตาม ควรเปรียบเทียบผลดี ผลเสียกันเอาเองน่ะครับ แต่ถ้าให้ผมฟันธงเลย ขอตอบว่าลบไปเลยดีกว่าครับ..

ทิปจาก : www.it-guides.com

การแก้ไขและซ่อมคอมพิวเตอร์ด้วยตนเอง


การแก้ไขและซ่อมคอมพิวเตอร์ด้วยตนเอง
 ถ้าคุณมีปัญหาการใช้คอมพิวเตอร์ หรือเครื่องพิมพ์ ลองตรวจสอบปัญหาจากหัวข้อเหล่านี้ก่อน ไม่แน่นะ ท่านอาจพบวิธีการแก้ไขด้วยตนเอง ข้อมูลเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดจากประสบการณ์ในการซ่อมคอมพิวเตอร์โดยตรง ซึ่งพอสรุปปัญหาได้ 2 ลักษณะ คือ ปัญหาที่เกิดจาก Software และปัญหาที่เกิดจาก hardware
 

1.ปัญหาจากOperating System Windows
      ปัญหานี้ส่วนใหญ่มาจากการติดตั้งโปรแกรมใหม่ๆ หรือการ Uninstall โปรแกรมแล้วทำให้ File บางไฟล์หายไปวิธีแก้ไขง่ายๆ คือการติดตั้ง Windowsทับเข้าไปใหม่ (ช่างส่วนใหญ่แนะนำกันต่อๆมา) ไม่ต้องกลัวนะครับว่าโปแกรมที่มีอยู่ก่อนแล้วจะหายไป !ไม่หายครับและก็ไม่จำเป็นต้องลงโปรแกรมอื่นๆ ใหม่ด้วยแต่ควรเตรียมแผ่น drive ของ การ์ดจอ ซาวด์การ์ด ไว้ให้พร้อมก็จะดี
2. ปัญหาจาก Application
     เช่นโปรแกรมการใช้งานต่าง ๆ ได้ Microsoft Word, Excel, internet Explorer มีหลักคล้าย ๆ กันคือให้ติดตั้งโปรแกรมทับเข้าไปใหม่ แต่ผมแนะนำว่าให้ลองปิดโปรแกรมทั้งหมด แล้ว Restart ใหม่จะดีกว่า อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจคือ โปรแกรมบางตัวอาจไม่ support การใช้งานบาง OS ดังนั้น อาจจำเป็นต้องมีการถอดการติดตั้งออก หรือที่เรียกว่า uninstall (ส่วนใหญ่โปรแกรมที่เราติดตั้งจะมีมาให้ด้วย) ถ้าไม่มีลองเข้าไปที่ Control Panel เลือก Add/ Remove Program
3. ปัญหาจากไวรัส
     ปัญหานี้อาจพบอาการแปลก ๆ เช่น เปิดโปรแกรมไม่ได้, มีหน้าต่างแปลก ๆ แสดงขึ้นมาที่หน้าจอ การแก้ไขก็ลองตรวจสอบโดยใช้โปรแกรมเช็คไวรัสดู เช่น Norton Antivirus หรือ McAfee.VirusScan เป็นต้น
4. ปัญหาจากผู้ใช้งาน
     ตัวอย่างเช่น กดปุ่ม Scroll Lock แล้วหน้าจอเลื่อนทั้งหน้า (Microsoft Excel) เรื่องปกติครับ ไม่มีใครทุกคนที่จะสามารถใช้โปรแกรมได้เก่งทุกอย่างบางครั้งก็มีพลั้งเผลอบ้าง เรื่องนี้ต้องแก้ไขโดยการซื้อหนังสือมาอ่านครับเพื่อที่จะทำให้เราสามารถใช้โปรแกรมได้คล่องและเก่ง
 
    Disk Drive
     อ่านข้อมูลไม่ได้ -> ให้แก้ไขโดยซื้อแผ่นทำความสะอาด + น้ำยา ล้างก็จะสามารถแก้ไขได้
    CD-ROM Drive
     อ่านข้อมูลไม่ได้ -> สาเหตุมาจากฝุ่นที่เกาะอยู่ ให้ซื้อแผ่นทำความสะอาดสำหรับ CD-ROM และสาเหตุอีกอย่างหนึ่งคือ แผ่นที่อ่าน อาจมีปัญหามาจากการบันทึกถ้าเป็นไปได้ ให้ทดสอบโดยนำแผ่นไปอ่าน CD-ROM Drive เครื่องอื่น ๆ ดู(ความเร็ว CD-ROM ถ้าต่ำกว่า 24x มักจะมีปัญหาในการอ่าน)
    RAM-Memory
     ถ้าเกิดฝุ่นละออง หรือมีอาการร้อง -> ให้นำยางลบดินสอมาทำความสะอาด แล้วนำเสียบลงไปใหม่  หน่วยความจำ ปัจจุบันมีราคาถูกลงมาก อย่างไรก็ตามปัญหาที่พบ
เกี่ยวกับ Ram คือการไม่สัมพันธ์ระหว่างแรมเก่า กับแกมใหม่ หมายความว่า การเพิ่มแรมควรใช้ยี่ห้อเดียวกัน รุ่นเดียวกัน และขนาดเท่ากันจะดีกว่าทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับเมนบอร์ดของแต่ละรุ่นด้วย
    Harddisk
      ทำงานช้าลง -> ส่วนใหญ่มาจากพื้นที่ว่างใน harddisk ไม่มากพอสำหรับผู้ใช้วินโดวส์ 95,98 ควรมีพื้นที่เหลืออย่างน้อยสัก 500 MB การแก้ไข ควรทำDisk Cleanup (ทำทุกวัน) ตามด้วย Scandisk (ทำทุกวัน) และ Disk Defragment (ทำทุกเดือน)
    Power Supply
     ไฟไม่เข้า -> ลองขยับปลั๊กดูก่อน ปัญหานี้เกิดบ่อยมาก นอกจากนี้อาจเป็นที่ฟิวส์ขาด ให้หามาเปลี่ยน แต่ถ้าเสียแล้ว ไม่แนะนำให้ซ่อม ซื่อตัวใหม่เลยดีกว่า ส่วนเรื่องการป้องกันปัญหาคือ ให้หาเครื่องเป่า มาเป่าอย่างน้อย 3 เดือนครั้ง ขึ้นอยู่กับห้องที่ติดตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยว่ามีฝุ่นมากน้อยเพียงใด
    Mouse
     เม้าส์เลื่อนสะดุด -> ปัญหานี้แก้ไขง่าย และมักเป็นกันบ่อยๆ หลังจากใช้งานไปได้สักพัก สาเหตุคือการไม่ค่อยนิยมใช้แผ่นรองเม้าส์ ทำให้ฝุ่นจากพื้นเข้าเกาะติดได้ง่าย สำหรับการแก้ไข คือ ให้หงายเม้าส์ แกะตัวล็อก นำลูกกลิ้งด้านหลังออก จากนั้นให้ดูในช่องด้านใน จะเห็นฝุ่นเกาะเป็นคราบอยู่ให้ใช้น้ำยาทำความสะอาดเมาส์เช็ด
ทำความสะอาด
    Monitor
     ปัญหาที่พบเช่น สีเพี้ยน -> ให้ลองถอดสายสัญญาณของจอออก แล้วเสียบใหม่ หรือจอภาพมีแต่สีขาวดำ ทั้งๆ ที่เป็นจอสี ให้ถอดสายสัญญาของจอและดูว่าเข็มใดงอหรือไม่ ให้แก้ไข และลองเสียบใหม่

   เครื่องพิมพ์ชนิดหัวเข็ม (Dot matrix)
    พิมพ์ติดขัดเป็นประจำ
      ปัญหาที่พบส่วนใหญ่มีเศษกระดาษ ผงกระดาษ หรือ Clip ตกลงไป ให้ถอดมาทำความสะอาด และอีกอย่างหนึ่งที่มีปัญหาบ่อยคือ แผงกั้นระหว่างหัวพิมพ์กับกระดาษอาจชำรุด ให้หาซื้อมาเปลี่ยนเอง (จะได้ราคาถูกกว่า ไม่เสียค่าแรงด้วย)
    สีจางมาก ทั้งๆ ที่เปลี่ยนตลับผ้าหมึกใหม่
      เรื่องนี้ผมก็พบบ่อยเหมือนกัน ปัญหานี้แก้ไขโดยการเลื่อนคันโยก ปรับตำแหน่งของการพิมพ์ให้อยู่ในระดับที่ถูกต้อง
(เช่น หมายเลข 0-1 สำหรับการพิมพ์กระดาษ 1 แผ่น , หมายเลข 2-3 กระดาษมีสำเนา 2 แผ่น เป็นต้น)
    พิมพ์กระดาษต่อเนื่อง แล้วไม่เลื่อน
      ตรวจสอบคันโยกว่าปรับตำแหน่งใด ปกติจะมี 2 ตำแหน่งคือ แบบกระดาษ 1 แผ่น และแบบกระดาษต่อเนื่อง
    หัวเข็มหัก (คงต้องส่งซ่อม)
     สาเหตุที่พบมากคือ ปรับความใกล้ไกลเวลาพิมพ์กระดาษที่มีความหนาต่างๆ ไม่ถูกต้อง ลองศึกษาจากคู่มือดู และอีกอย่างหนึ่งผ้าหมึกถ้าจางแล้วให้รีบเปลี่ยน อย่าฝืนใช้ เพราะจะทำให้หัวเข็มชำรุดได้ง่าย
   เครื่องพิมพ์พ่นหมึก (Inkjet)
    พิมพ์ไม่ออก ไม่มีสี
     ปัญหาจากการอุดตันของตัวตลับหมึก ควรเลือกซื้อเครื่องที่หัวพ่นหมึกอยู่ในตลับจะดีกว่า เวลาเปลี่ยนจะได้เปลี่ยนพร้อมกันไป (ราคาจะแพงกว่าสักนิด) สำหรับวิธีป้องกันปัญหาได้บ้างคือ หลังจากมีการเปลี่ยนตลับหมึกแล้ว ควรใช้ให้หมด ไม่ควรถอดออกมาเพราะจะทำให้อุดตัน สำหรับการทดสอบ แก้ไขให้ลองล้างหัวเข็ม ผ่านคำสั่งในโปรแกรม หรือผ่านทางเครื่องพิมพ์โดยตรง(คงต้องอ่านคู่มือดูแต่ละรุ่นอีกทีน๊ะครับ)
     พิมพ์ออกมาสีเพี้ยน
      หมึกหมดครับ สีใดสีหนึ่งอาจหมด ทำให้สีที่ผสมออกมาไม่สมบูรณ์ การแก้ไขให้เปลี่ยนตลับหมึก Inkjet บางรุ่นสามารถเปลี่ยนตลับสีแยกเป็นสีๆ ได้ด้วย ช่วยให้ประหยัดเงินได้มากขึ้น แต่ถ้าไม่ใช่เพราะคุณเพิ่งเปลี่ยนตลับหมึก ให้ทดสอบโดยใช้วิธีการล้างหัวเข็ม อาจล้างผ่านคำสั่งในโปรแกรม หรือผ่านทางเครื่องพิมพ์โดยตรง(คงต้องอ่านคู่มือดุแต่ละรุ่นอีกทีน๊ะครับ)
    เครื่องพิมพ์เลเซอร์ (Laser)
     พิมพ์ไม่ออก สีจาง

      ปัญหาอย่างหนึ่งคือ ผงหมึกไม่อยู่ในแนวราบ ให้เอาตลับหมึกมาเขย่า ๆ(แนวราบ) อ้อ! ถ้าเป็นตลับใหม่ อย่าลืมดึงแผ่นพลาสติกที่กั้นผงหมึกไวด้วย มิฉะนั้นอาจพิมพ์ไม่ติดเลย
     พิมพ์ยังไงก็ไม่ออก
      สาเหตุอาจมาจากกระดาษติดครับ ผมพบบ่อยมากถึงมากที่สุด ให้ลองถอดตลับผงหมึกออกมา สังเกตว่ามีกระดาษติดหรือไม่ ถ้ามีให้ระวังเรื่องการดึงกระดาษโดยดูจากคู่มือเรื่องทางเดินของกระดาษ ให้ดึงไปตามเส้นทางของทางเดินกระดาษ
ฟันเฟืองของเครื่องพิมพ์จะได้ไม่หัก (เฟืองแต่ละตัว ราคาค่อนข้างแพงครับ)
     พิมพ์แล้วสกปรก มีลายเส้น
      ตัวลูกกลิ้งสกปรก ให้เปิดเครื่อง เอาตลับผงหมึกออก และทำความสะอาดลูกกลิ้งดู สาเหตุอีกอย่างหนึ่งคือตัวตลับไม่ได้มาตรฐาน (อาจเกิดจากตลับที่มีการนำมาใช้ใหม่) ควรตรวจดูก่อน
      นอกเหนือจากที่กล่าวข้างต้นแล้ว การตรวจสอบปัญหาเครื่องคอมพิวเตอร์อีกวิธีหนึ่งที่ค่อนข้าง่ายและมีประสิทธิภาพอยู่ในระดับที่น่าพอใจคือ การใช้โปรแกรมตรวจสอบปัญหา เช่น Norton Utilities หรือ First Aid เป็นต้น เพียงแค่คุณติดตั้งโปรแกรมเหล่านี้ จากนั้น run โปรแกรมดู (เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มี Brand ดี ๆ อาจมีโปรแกรมตรวจสอบปัญหาแถมมาให้ด้วย)